นายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะผู้สมัครประธานส.อ.ท. คนใหม่ เปิดเผยว่า เตรียมผลักดันให้ไทยจัดตั้งหน่วยงานองค์การส่งเสริมการค้าของไทย (ไทยโทร) คล้ายกับองค์การส่งเสริมการค้าของญี่ปุ่น (เจโทร) โดยเป็นการทำงานของภาคเอกชน ร่วมกับภาครัฐ เพื่อเพิ่มความคล่องตัว และส่งเสริมให้ข้อมูลผู้ประกอบการที่จะไปลงทุนในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  จากปัจจุบันมีหน่วยงานทางภาครัฐ เช่น  สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) แต่ยังสนับสนุนได้ไม่เต็มที่ “ขณะนี้โลกการค้าในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว มีการเคลื่อนไหวการลงทุนอย่างเสรีมากขึ้น ซึ่งหากเอกชนไหน ไปลงทุนพื้นที่ที่มีศักยภาพก่อน ก็จะได้เปรียบ เพราะฉะนั้นคิดว่า ถ้าไทยตั้งไทยโทร หน่วยงานที่เอกชน เป็นตัวนำ และมีภาครัฐคอยสนับสนุน เชื่อว่า จะทำให้ผู้ประกอบการไปลงทุนในต่างประเทศได้คล่องตัวขึ้น และมีข้อมูลที่แม่นยำ เห็นได้จากหน่วยงานเจโทรของญี่ปุ่น ที่จะคอยให้ข้อมูลนักลงทุน และดูแลนักลงทุนของเขาอย่างดี  ซึ่งปัจจุบันบีโอไอ ก็มีการดูแลได้ในระดับหนึ่ง เพราะต้องดูแลนักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนในไทยด้วย” สำหรับนโยบายเร่งด่วน หากตนได้รับเลือกเป็นประธานส.อ.ท.คนใหม่นั้น จะเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการผลักดันแก้ปัญหาสภาพคล่องของอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเอสเอ็มอี และเร่งแก้ปัญหาการส่งออกของประเทศ รวมทั้งจะผลักดันสนับสนุนให้มีการยุติปัญหาความขัดแย้งโดยเร็วที่สุด และจะฟื้นฟูและกู้ภาพลักษณ์ เชื่อมั่นของประเทศ ทั้งด้านการลงทุน และการท่องเที่ยว และจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อหาแนวทางและข้อเสนอแนะการแก้ปัญหาเศราฐกิจ ด้านการผลิต การค้าการบริการ และการลงทุนที่ชะลอตัว ร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชน นายธนิต โสรัตน์ รองประธานกรรมการ ส.อ.ท. กล่าวว่า  ได้ประมาณการณ์ยอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอทั้งปีจะเหลือเพียง 3 – 4 แสนล้านบาท จากยอดบีโอไอที่ตั้งเป้าหมายไว้ 900,000 ล้านบาท เนื่องจากการแต่งตั้งคณะกรรมการบีโอไอ จะล่าช้าออกไปถึงไตรมาส 3  ทำให้ไม่สามารถอนุมัติโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 200 ล้านบาทไม่ได้  โดยค่าเฉลี่ยแต่ละเดือนจะมียอดขออนุมัติการลงทุน 70,000 ล้านบาท  ทำให้ยอดขอส่งเสริมการลงทุนจะหายไป 5 – 6 แสนล้านบาท นายวัลลภ วิตนากร รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยขณะนี้ เชื่อว่าการบริโภค และการลงทุนภายในประเทศ จะชะลอตัวออกไป 2-3 ปี โดยจะต้องพึ่งพิงการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป เนื่องจากเอกชนประเมินว่า  กว่าจะได้รัฐบาลใหม่ อาจจะจบปีงบประมาณ 57 จากนั้นรัฐบาลใหม่ จะต้องเดินหน้าปฏิรูปประเทศ เมื่อครบปี อาจจะต้องยุบสภาฯแล้วเลือกตั้งใหม่กว่าจะมีรัฐบาลอีกก็คงใช้เวลา และงบประมาณที่จะถูกนำมาใช้ได้จริงก็จะล่าช้าออกไปต่อเนื่อง “สิ่งที่กังวลก็คือ หากภาพการเมืองเป็นเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศระยะยาวเนื่องจากนักลงทุนย่อมต้องตัดสินใจชะลอการขยายการลงทุนในประเทศและหากแผนลงทุนที่วางไว้ไม่สามารถจะรอได้ในช่วง 2-3 ปีจากนี้ก็มีโอกาสสูงที่จะย้ายฐานการลงทุนบางส่วนไปยังประเทศอื่นแทนโดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนามที่ขณะนี้มาแรงซึ่งจะทำให้ไทยเสียโอกาส”  

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ดันตั้ง”ไทยโทร”หนุนเอกชนไทยไปนอก

Posts related