รองศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นักวิจัยสกว. จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และรองเลขาธิการสภาวิศวกร เปิดเผยว่า จากเหตุอาคาร 6 ชั้น ที่กำลังก่อสร้างในซอยรังสิต คลอง 6 พังถล่มลงมาทั้งอาคารโดยเริ่มถล่มจากชั้น 6 แล้วพื้นยุบตัวลงมาทั้ง 6 ชั้นทับคนงานที่กำลังทำงานอยู่ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายราย ว่า อาคารดังกล่าวก่อสร้างด้วยระบบพื้นไร้คานชนิดอัดแรงทีหลังหรือพื้นโพสต์ซึ่งมีการเสริมลวดอัดแรงเพื่อเพิ่มกำลังรับน้ำหนักของพื้นการพังถล่มของอาคารหลังนี้เป็นการวิบัติแบบที่เรียกว่า Pancake collapse ซึ่งหมายถึงการวิบัติเริ่มเกิดขึ้นที่จุดใดจุดหนึ่งของอาคารแล้วลามไปทั่วอาคารจนทำให้พังถล่มทั้งหลัง โดยสังเกตจากพื้นทั้ง 5 ชั้นถล่มลงมากองซ้อนกันที่พื้นดินอย่างไรก็ตาม สาเหตุของการพังถล่มและตำแหน่งแรกที่เกิดการวิบัติยังไม่ทราบแน่ชัดเนื่องจากยังขาดข้อมูลแบบก่อสร้าง และบันทึกการก่อสร้าง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงเร่งสรุปสาเหตุที่แน่ชัดในไม่ช้านี้ เหตุการณ์ตึกถล่มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกแต่ได้เกิดมาแล้วหลายครั้งในอดีต เช่น เหตุการณ์โรงแรมรอยัลพลาซ่าถล่มที่จ.นครราชสีมา เมื่อปี 2536 ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 137 คนล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาซึ่งการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีสาขาบางพลี ได้พังถล่มลงมาทับคนงานเสียชีวิต                 รองศาสตราจารย์ดร. อมร ระบุว่า อาคารทั่วไปในช่วงที่กำลังก่อสร้างนั้น ถือว่ามีความอ่อนแอมากเนื่องจากคอนกรีตยังไม่ได้อายุ และการก่อสร้างชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์โดยทั่วไปการถล่มของตึกในระหว่างการก่อสร้างอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ 1)ขั้นตอนการก่อสร้างไม่ถูกต้องหรือไม่มีแผนการก่อสร้าง เช่นการใช้ค้ำยันไม่เพียงพอหรือทำไม่ถูกต้องหรืออาจถอดค้ำยันเร็วเกินไปในขณะที่พื้นคอนกรีตที่เพิ่งเทยังไม่แข็งตัวพอหรือการเทคอนกรีตกองที่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไปจนเพิ่มน้ำหนักที่บริเวณนั้นมากผิดปกติหรืออาจเกิดจากการไม่ได้ดึงลวดอัดแรงในพื้นชั้นล่างก่อนที่จะทำค้ำยันเพื่อรองรับน้ำหนักพื้นชั้นที่กำลังก่อสร้างอยู่ทำให้พื้นชั้นล่างไม่แข็งแรงที่จะรองรับน้ำหนักพื้นที่กำลังเทคอนกรีตอยู่ จนเป็นสาเหตุให้เกิดการพังถล่ม  2) การก่อสร้างที่เร่งรีบเกินไป เช่นคอนกรีตในพื้นชั้นล่างยังไม่ได้อายุ จึงยังมีกำลังรับน้ำหนักไม่เพียงพอแต่กลับเร่งการก่อสร้างพื้นในชั้นถัดไป เพื่อให้การก่อสร้างเสร็จเร็วขึ้นทั้งที่คอนกรีตในพื้นชั้นล่างยังไม่แข็งแรงพอ จึงไม่สามารถรองรับน้ำหนักของพื้นชั้นบนได้เป็นสาเหตุให้พื้นถล่มลงมา 3)การเสริมเหล็กที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เพียงพอ เช่นการเสริมเหล็กระหว่างพื้นและเสาหรือระหว่างพื้นและกำแพงปล่องลิฟต์หากทำไม่ถูกต้องหรือไม่เพียงพอก็อาจทำให้โครงสร้างปราศจากการยึดรั้งระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ จนเป็นสาเหตุให้ ชิ้นส่วนต่าง ๆ หลุดแยกจากกัน แล้วทำให้โครงสร้างพังถล่มลงมาได้4) การใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น คอนกรีตกำลังต่ำเหล็กเสริมหรือลวดอัดแรงที่ด้อยคุณภาพ 5) ฐานรากวิบัติบ่อยครั้งที่โครงสร้างถล่มมีสาเหตุมาจาก การวิบัติของฐานราก เช่น เสาเข็มหักหรือเสาเข็มหนีศูนย์ ในลักษณะเช่นนี้ อาจสังเกตพบอาคารทรุดตัวหรือทรุดเอียงด้วย “การป้องกันตึกถล่มระหว่างก่อสร้างจะต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้ง5 ข้อข้างต้นสำหรับการก่อสร้างอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 3 ชั้นขึ้นไปถือว่าเป็นงานวิศวกรรมควบคุม การออกแบบและการก่อสร้างจะต้องมีวิศวกรที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมสาขาวิศวกรรมโยธาซึ่งออกโดยสภาวิศวกร และวิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างจะต้องประจำอยู่ ณสถานที่ก่อสร้างตลอดเวลา” รองศาสตราจารย์ ดร.อมรกล่าว     

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : นักวิจัย สกว. แนะแนวทางป้องกันตึกถล่ม

Posts related