นายสมชัย สัจจพงษ์ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ( สศค.) เปิดเผยว่า สศค.ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 56 เหลือ2.8% จากเดิมคาดการณ์ว่าจะโต 3.7% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้จึงกระทบต่อการส่งออกของไทยติดลบ 0.6% ประกอบกับปัญหาการเมืองในประเทศทำให้การบริโภคและการลงทุนชะลอตัวลงเนื่องจากขาดความเชื่อมั่นในประเทศ โดยในปี57 คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวประมาณ 4 % จากเดิมที่ตั้งไว้ 5.1% แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องมีการเลือกตั้งในวันที่2 ก.พ. 57 และจัดตั้งรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ พร้อมทั้งจะต้องเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานของประเทศประมาณ 30% “ การจัดตั้งรัฐบาลจะแล้วเสร็จประมาณปลายก.พ.หรือต้นเดือนมี.ค.57 ทำให้โครงการต่าง ๆ สามารถเดินหน้าได้ช้าหรือประมาณกลางปีหน้า จึงคาดว่าการลงทุนขนาดใหญ่เช่น 2 ล้านล้านบาทตามแผนปีแรกจะลงทุน 68,000 ล้านบาท และลงทุนบริหารจัดการน้ำ 94,000ล้านบาทนั้น จะลงทุนได้จริงเพียง 30% ยกเว้นกรณีปัญหาการเมืองยืดเยื้อการทบต่อการท่องเที่ยวจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง300,000 คน และการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ทำได้เพียง 10%จะทำให้จีดีพีโตได้เพียง3.5% และถ้ากรณีเลวร้ายสุดการเมืองเกิดความรุนแรงจีดีพีอาจจะต่ำกว่า 3% ส่วนการส่งออกในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่6.5% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ทั้งสหรัฐอเมริกายุโรป จีนและญี่ปุ่น” สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยคือปัจจัยการเมืองภายในประเทศมากกว่าปัจจัยต่างประเทศเพราะไม่สามารถคาดการณ์ทางออกเรื่องการเมืองได้ แต่ต้องติดตามการยกเลิกมาตรการคิวอีของสหรัฐว่าจะกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายมากน้อยแค่ไหนซึ่งเชื่อว่าการยกเลิกคิวอีจะไม่กระทบต่อสภาพคล่องของไทยมากนัก และปัจจุบันไทยมีสภาพคล่องส่วนเกินสูงถึง 2.5ล้านล้านบาท แต่อาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงซึ่งประเมินไว้ที่30.20-32.20 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้มีความเป็นห่วงการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยหรือในช่วงที่เศรษฐกิจซึมจากปัญหาการเมืองในประเทศจะทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในประเทศลดลงและอาจทำให้ลูกหนี้มีปัญหาด้านความสามารถในการชำระหนี้กับธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจจนทำให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันเอ็นพีแอลเฉลี่ยอยู่ที่ 3% หากสูงกว่า 5-6 % จะเข้าสู่ภาวะอันตรายและกรทบต่อโครงสร้างระบบเศรษฐกิจโดยรวมเพราะที่ผ่านมาตัวเลขการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต)ในเดือนพ.ย. ลดลง 8.3% แสดงให้เห็นว่าการบริโภคในประเทศเริ่มลดลงแล้ว ดังนั้นกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธปท.ต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดอย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามูดี้ส์อินเวสเตอร์เซอร์วิสได้สอบถามถึงปัญหาการเมืองในประเทศเพื่อประเมินเศรษฐกิจไทยก่อนจัดเครดิตเรตติ้งอีกครั้ง นอกจากนี้ยังได้กำชับให้หน่วยงานข้าราชการ รัฐวิสาหกิจเร่งการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วเพราะเห็นว่าในช่วงที่เกิดสุญญากาศทางการเมือง การเบิกจ่ายงบประมาณปี 57 โดยเร็ว จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ไม่มีมาตรการใหม่จากรัฐบาล เนื่องจากที่ผ่านมามีการทำงบขาดดุลอยู่250,000 ล้านบาท
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : พิษการเมืองสศค.หั่นจีดีพีปีหนี้เหลือ 2.8%
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs