นายเอกนิตินิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้กระทรวงการคลังยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเนื่องจากยังมีวงเงินในการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐอีกเป็นจำนวนมาก เพราะ 10เดือนที่ผ่านมารัฐบาลมีการเบิกจ่ายได้เพียง 75% ของงบประมาณเท่านั้น ซึ่งยังถือว่าการใช้งบประมาณที่เหลืออยู่ยังใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยคาดว่าการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐในปีงบประมาณ 57 จะขยายตัวได้ที่91% ทั้งนี้ภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ ส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐมีอัตราเร่งขึ้นโดยพิจารณาจากการเบิกจ่ายงบประมาณในเดือนก.ค.57 รัฐบาลสามารถเบิกจ่ายงบประมาณรวมได้200,200 ล้านบาท ขยายตัว 17% ต่อปี เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว1.1% ต่อปีสะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภาครัฐ “ช่วงที่เหลือของปีนี้ยังไม่จำเป็นที่ต้องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพราะหากออกมาตรการเพิ่มเติมออกมาแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้เต็มที่ก็มีค่าเท่ากัน โดย สศค.มองว่าวงเงินการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐยังเพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้ง การเบิกจ่ายงบประมาณปี 58 ที่กรรมาธิการได้เสนอให้ภาครัฐเพิ่มอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสแรกเพิ่มเป็น30% จากปกติเบิกจ่ายที่ 25% เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว โดยประเมินว่าหากภาครัฐสามารถเบิกจ่ายเม็ดเงินงบประมาณภาพรวมได้100,000 ล้านบาท จะช่วยสนับสนุนจีดีพีได้ 0.7-0.8%”ขณะเดียวกันสศค.เชื่อว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทย ยังเติบโตได้ 2% แม้การส่งออกเดือน ก.ค.จะติดลบ 0.9%แต่ยังเชื่อมั่นว่าทั้งปีการส่งออกจะโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.5% แต่การส่งออกแต่ละเดือนต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า20,000 ล้านดอลลาร์ โดยมองว่ายังมีปัจจัยหนุนในไตรมาส 3-4เนื่องจากเป็นช่วงของฤดูการผลิตที่ต้องผลิตเพื่อส่งออกจากความต้องการสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นแต่ความเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ การส่งออกไปยังประเทศจีน และกลุ่มประเทศอาเซียนบวก 5 เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวตามที่คาดไว้  

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : สศค.ชี้ยังไม่จำเป็นออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

Posts related