47 วัน…กับการบริหารประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดูจะสร้างความพอใจให้กับประชาชนคนไทยในทุกกลุ่ม ทั้งบรรดารากหญ้า ชาวไร่ชาวนา แรงงาน นักธุรกิจ ผู้ประกอบการต่าง ๆ เพราะสามารถเดินหน้าปลดล็อกปัญหามากมายที่สั่งสมมานาน ไล่ตั้งแต่เช็กบิลปัญหาการเมืองสารพัดม็อบที่บั่นทอนความสามัคคีของชาติ ไปจนถึงการแก้ปัญหาปากท้อง ลดค่าครองชีพให้กับคนรากหญ้ายันมนุษย์เงินเดือน ผ่านมาตรการ “คืนความสุขลอตแรก” เริ่มจากจ่ายเงินจำนำข้าวคืนชาวนา และล่าสุดได้ขยายเวลาลดภาษีต่ออีก 1 ปีทั้งภาษีเงินได้บุคคล ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม สารพัดมาตรการที่ทยอยออกมา แน่นอนว่า เป็นแนวทางสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับกู้เศรษฐกิจไทยให้กลับมายืนอยู่บนเส้นทางปกติ หลังจากปลายปีก่อนต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปีนี้ ประเทศไทยอยู่ในภาวะความเสี่ยงที่จะเป็นรัฐล้มเหลว ด้วยสาเหตุหลักจากปัญหาชุมนุมทางการเมือง ปัญหาความขัดแย้ง และการบริหารงานที่มีข้อจำกัดของรัฐบาลรักษาการ ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยหลักที่คอยฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่… เมื่อคสช.เข้ามากุมอำนาจเอง ปัญหาต่าง ๆ จึงได้รับการแก้ไข ที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องของความขัดแย้ง โพลหลายสำนักได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนพบว่า สิ่งแรกที่ประชาชนมีความสุขมากที่สุดหลังจากคสช.ยึดอำนาจคือ การชุมนุมของฝ่ายต่าง ๆ ได้ยุติลง โดยที่ไม่มีความรุนแรง และเชื่อว่าประเทศจะได้กลับมาสงบ และปลอดภัยอีกครั้ง รองลงมาคือเรื่องเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาปากท้อง เคลียร์หนี้-ลดต้นทุน ทั้งนี้นโยบายแรกที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หัวหน้าคสช. บอกในที่ประชุมเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ามายึดอำนาจของรัฐบาล โดยบอกให้ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งหาเงินที่ค้างอยู่กว่า 90,000 ล้านบาท มาจ่ายคืนให้กับชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวอย่างเร็วที่สุด ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เองก็รับลูกรีบนำเงินสภาพคล่องของธนาคารมาจ่ายจนครบคนสุดท้ายเมื่อช่วงกลางเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาไม่ถึงเดือน หลังจากที่ชาวนาส่วนใหญ่ต้องรอคอยเงินมาเป็นแรมปี ทำให้เห็นภาพชาวนาน้ำตาริน มีเงินที่เพียงพอจะไปลงทุนทำนารอบใหม่เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ต่อมาไม่นาน คสช.ก็คลอดแพ็กเกจอีกชุด ดูแลชาวนาที่ปลูกข้าวในรอบฤดูกาลการผลิต ปี 57/58 ด้วยการลดต้นทุนค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเช่าที่นา ค่าเมล็ดพันธุ์ และค่ารถเกี่ยวข้าว ลงมาให้ได้ไร่ละ 432 บาท โดยใช้เงินจิ๊บจ้อยเพียง 4,747 ล้านบาท รวมทั้งมาตรการทางการเงินอีกสารพัด เพื่อเป็นช่องทางให้ชาวนามีแหล่งเงินทุน และออกโครงการประกันภัยนาข้าว ลดความเสี่ยงหากผลผลิตถูกภัยธรรมชาติ ขณะเดียวกันยังวางแนวทางดูแลระยะยาว ซึ่งหลัก ๆ คือการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพ ตรึงราคาพลังงาน หลังจากคืนความสุขให้เกษตรกรไปแล้ว ก็ถึงคราวที่คสช.เดินหน้าแก้ปัญหาพลังงานให้รากหญ้า ผู้ที่ได้รับความสุขส่วนนี้คงหนีไม่พ้น พ่อค้าแม่ขาย เนื่องจากคสช.สั่งตรึงราคาพลังงานออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานแล้วเสร็จ โดยเฉพาะการตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือแอลพีจี ภาคครัวเรือน ให้อยู่ที่กิโลกรัมละ 22.63 บาทต่อออกไปอีกระยะหนึ่งเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งถือเป็นราคาเดิม ซึ่งตามแผนแล้วราคาก๊าซหุงต้มต้องปรับขึ้นราคากิโลกรัมละ 50 สตางค์ต่อเนื่องจนถึงเดือน ต.ค. 57 ขณะที่ภาคขนส่งก็เฮ! เพราะ คสช.ได้สั่งให้ลดราคาน้ำมันดีเซลลงอีกลิตรละ 14 สตางค์ จากลิตรละ 29.99 บาท เหลือลิตรละ 29.85 บาท ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.เป็นต้นมา แต่ในอนาคต ต้องจับตาดูต่อไปว่า นโยบายคืนความสุขด้านการดูแลราคาพลังงาน จะทำได้ยาวนานเพียงใด เพราะราคาพลังงานทั้ง 2 ประเภทของไทยในปัจจุบัน ยังเป็นราคาที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง อีกทั้งยังต้องนำรายได้ของภาครัฐไปอุดหนุน ซึ่งถ้านับถึงตอนนี้ก็เป็นเวลานานกว่า 5 ปี ใช้เงินอุดหนุนสูงถึง 500,000 ล้านบาท จึงต้องดูต่อไปว่า จากนี้อาจปรับขึ้นราคาอย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบกับค่าครองชีพของประชาชนมากนัก และภาระงบประมาณ ซึ่งหัวหน้าคสช.เอง ได้บอกไว้ล่าสุดว่าเบื้องต้นอาจกำหนดราคาพลังงานเป็นการชั่วคราวออกมาก่อน เพื่อลดภาระให้กับชาวบ้าน ก่อนเดินหน้าปรับโครงสร้างราคาอย่างเป็นทางการ กดราคาลอตเตอรี่ เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทยอีกเรื่อง ก็คือเรื่องของราคาลอตเตอรี่ ที่บรรดาเซียนหวยต้องยอมแบกรับภาระควักเนื้อซื้อลอตเตอรี่ในราคาแพงกว่าที่กำหนดมานานหลายสิบปี! เรื่องนี้ คสช.ก็ไม่มองข้าม โดยเตรียมจัดระเบียบการจัดจำหน่ายกันใหม่ ของเดิมที่โควตา ที่ผลประโยชน์ เคยตกอยู่กับใครก็จะเข้าไปรื้อทิ้งใหม่หมด แม้เบื้องต้นไม่สามารถสังคายนาได้ภายใน 1 งวดหรือ 15 วัน แต่ก็ได้มีการขอความร่วมมือให้บรรดาคนขายลอตเตอรี่ขายในราคาที่เหมาะสม หรือต้องไม่เกิน คู่ละ 90 บาท เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องนี้แก้ไขไม่ได้ง่าย ๆ ต้องใช้เวลา ดังนั้นจึงต้องรอดูว่าการคืนความสุขให้เซียนหวยจะสัมฤทธิผลหรือไม่ หรือเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชมเท่านั้น ขณะเดียวกันปัญหาใหญ่ของประเทศในเวลานี้คือเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่น ทำให้ คสช.เองได้พยายามเร่งแก้ไขโดยที่ผ่านมาก็ได้มีคำสั่งย้ายข้าราชการระดับสูงออกมาแบบรายวัน หรือแม้แต่คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ มีการตรวจสอบโครงการต่าง ๆ รวมไปถึงการจัดตั้งซูเปอร์บอร์ดของรัฐวิสาหกิจ เพื่อกำหนดนโยบายการทำงานของคณะผู้บริหาร มีมาตรการควบคุมดูแล เพื่อให้รัฐวิสาหกิจเป็นส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ เพราะที่ผ่านมาการเข้าไปนั่งเป็นประธานและกรรมการของแต่ละรัฐวิสาหกิจนั้น มีปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่ถือว่า เนื้อหอมมากที่สุด เพิ่มวันหยุดเทศกาลวันแม่ หรือแม้แต่เรื่องของการส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่ลุ้นกันมายาวนานว่า คสช.จะสั่งให้วันที่ 11 ส.ค.นี้ เป็นวันหยุดราชการหรือไม่ จนในที่สุดก็ได้เฮกันถ้วนหน้า หลังหัวหน้าคสช.ไฟเขียวให้วันดังกล่าวเป็นวันหยุดราชการเพิ่มอีก 1 วัน ไม่หยุดฟันหลออย่างที่หลายคนกังวล ทำให้หยุดยาวตั้งแต่วันที่ 9-12 ส.ค. ซึ่งคาดว่า จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของประเทศได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวที่นิยมพาพ่อแม่ผู้สูงอายุ ท่องเที่ยวในระยะใกล้แทนการไปต่างประเทศ ขณะเดียวกัน คสช.ยังเตรียมฟื้นภาพลักษณ์ท่องเที่ยวครั้งใหญ่ โดยจัดกิจกรรมอีกมากมาย เพื่อดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้กลับมาสัมผัสกับความเป็น แลนด์ ออฟ สไมล์ อีกครั้ง ยืดเวลาลดภาษี เป็นมาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังที่คืนความสุขให้ประชาชนอันล่าสุดที่คสช.ออกมา โดยขยายระยะเวลาการปรับลดภาษี 3 ประเภท ออกไปอีก 1 ปีจนถึงปี 58 คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่เป็น 7 อัตรา ตั้งแต่ 5-35% ถือเป็นการยกเว้นภาษีให้กับผู้ที่มีเงินได้สุทธิไม่ถึง 150,000 บาท และทำให้มนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้น้อยจ่ายภาษีน้อย คนที่มีรายได้มากจ่ายภาษีมาก ต่อมาเป็นลดภาษีนิติบุคคล ให้อยู่ที่ 20% และต่ออายุภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่จะต้องเก็บ 10% ตามกฎหมายให้เหลือแค่ 7% ต่อไป แม้ว่าการปรับลดภาษีครั้งนี้ ทำให้รัฐขาดรายได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ถือว่าคุ้ม เพราะประชาชนจะได้มีเงินไปจับจ่ายใช้สอย กระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้อีกทาง ทั้งหมดเป็นเพียงมาตรการบางส่วนที่ คสช.ได้พยายามเดินหน้าเพื่อที่จะผลักดันเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหัวหน้า คสช.ได้ประกาศไว้ชัดเจนเมื่อคืนวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่าจะพยายามผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตให้ได้เกินกว่า 2% ดังนั้น…จึงต้องรอดูมาตรการสร้างความสุขของ คสช.กันต่อไป!. วสวัตติ์ โอดทวี
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เร่งเข็นสารพัดมาตรการ ดันเศรษฐกิจไทยโต2%
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs