นายปฏิมา จีระแพทย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมืองที่มีต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในเดือนมี.ค.ว่า จากการสำรวจล่าสุดเมื่อวันที่ 10 เม.ย. มีผู้ประกอบการตอบแบบสอบถามกลับมาจำนวน 146 ราย ผู้แบ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจในภาคการค้า 55 ราย ภาคบริการ 38 ราย และภาคการผลิต 53 ราย พบว่า ผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี 76% ได้รับผลกระทบทางลบจากความขัดแย้งทางการเมือง ลดลงจากเดือนก.พ. 57 ที่มีสัดส่วน 85% ทั้งนี้เมื่อแยกตามระดับความรุนแรงของผลกระทบ พบว่า เดือนมี.ค. ผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบมากมีสัดส่วน 42% ลดลงจากเดือนก.พ.ที่มีสัดส่วน 56% ได้รับผลกระทบปานกลาง 22% ลดลงจากเดือนก.พ.ที่ได้รับผลกระทบ 25% และได้รับผลกระทบน้อยมีสัดส่วน 12% เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ.ที่มีสัดส่วน 4% โดยจากข้อมูลดังกล่าวสรุปได้ว่า ผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี ส่วนใหญ่ยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมือง แต่ความรุนแรงของผลกระทบที่ได้รับลดน้อยลง “ภาพรวม พบว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีการปรับตัวต่อสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองดังกล่าว ด้วยการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดมากที่สุด เพื่อกระตุ้นยอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยการขายสินค้าที่ได้กำไรสูง เพิ่มชนิดของสินค้าลงทุนด้านโฆษณาและส่งเสริมการขายเพิ่มมากขึ้น รองลงมาคือ การลดค่าใช้จ่ายและการปรับกระบวนการทำงาน” สำหรับผลกระทบที่ผู้ประกอบการ ได้รับคือ ยอดขาย และจำนวนลูกค้าที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจภาคบริการเริ่มมีความกังวลเรื่องภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในการลงทุนของประเทศ แต่สถานการณ์ SMEs ในทุกประเภทมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และมีเอสเอ็มอี ที่ไม่ได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้นโดยมีสัดส่วน 24%เมื่อพิจารณาผลกระทบต่อรายได้ต่อเดือนเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปกติ พบว่า ในเดือนมี.ค.ภาพรวมมีรายได้เฉลี่ยลดลง 42% ซึ่งดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือน ก.พ. ที่ลดลงเฉลี่ย 50% โดยเฉพาะธุรกิจภาคการผลิต ในกลุ่มเอสเอ็มอี ที่มีการลงทุนน้อยกว่า 1 ล้านบาท หรือธุรกิจรายย่อย นับเป็นกลุ่มที่สถานการณ์ดีขึ้นมาก เห็นได้จากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนสำหรับเดือนมี.ค. ที่ลดลง 44% นั้น นับว่าดีขึ้นกว่าช่วงเดือน ม.ค.- ก.พ. ที่รายได้เฉลี่ยต่อเดือนลดลง 51% ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่กว่ายังคงทรงตัว ส่วนภาวะการค้าขายประจำเดือน มี.ค. จากการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการค้าตลาดนัดจตุจักร พบว่า การชุมนุมทางการเมือง ส่งผลให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ดังกล่าว สูญเสียโอกาสทางธุรกิจเฉลี่ยประมาณ 50% เทียบกับสถานการณ์ปกติ โดยเมื่อพิจารณาในแต่ละด้าน พบว่า ผลกระทบมากที่สุดคือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาในพื้นที่ลดลงถึง 70%รองลงมาได้แก่ คำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ลดลง50% และการค้าส่งภายในประเทศ รวมทั้งการค้าปลีกลดลง 40%
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เอสเอ็มอีปรับตัวรับการเมือง
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs