ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง 10 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปภายในสองสัปดาห์นับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นมา มีผลให้ราคาน้ำมันในบ้านเราลดลงไป 1.50 บาท/ลิตร สำหรับน้ำมันในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ และ 1.50 บาท/ลิตรสำหรับน้ำมันดีเซล แต่หลายท่านยังบ่นว่าลดน้อยเกินไป ก็คงเป็นเพราะมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันไปบางส่วน แทนที่จะลดให้ประชาชนทั้งหมดนั่นเอง
ทำไมราคาน้ำมันจึงปรับเปลี่ยนมาเป็นขาลงอย่างรวดเร็วอย่างนี้ โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลงไปอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี WTI ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี น้ำมันเบนซินและดีเซลที่ตลาดสิงคโปร์ลดลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงในครั้งนี้มีอยู่เรื่องเดียว คือ มาจากปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับความต้องการ และการจัดหาน้ำมันในตลาดโลกนั่นเอง
โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมาปรับลดการคาดการณ์ความเติบโตของเศรษฐกิจโลกทั้งในปีนี้และปีหน้าลดลงจากเดิม ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ช้าลงของจีน ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจในยุโรป และการที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ทำให้องค์กรและสถาบันด้านพลังงานของโลกอย่างเช่น IEA, EIA และ OPEC พากันลดประมาณการความต้องการน้ำมันของโลกทั้งในปีนี้และปีหน้าลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์เอาไว้ค่อนข้างสูงตรงกันข้ามกับการจัดหา ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกกลับผลิตน้ำมันได้มากขึ้น โดยสหรัฐผลิตน้ำมันดิบได้มากที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี รัสเซียก็ทำสถิติผลิตน้ำมันดิบสูงสุดได้ในเดือนที่แล้ว และกลุ่มโอเปกก็ผลิตน้ำมันดิบออกมามากกว่าโควตาที่กำหนดไว้ จากการที่ลิเบียกลับมาผลิตน้ำมันดิบได้เหมือนเดิมแล้ว
ทำให้เกิดสภาพน้ำมันล้นตลาดขึ้น สหรัฐซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบอันดับหนึ่งของโลก ได้ลดปริมาณนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากตะวันออกกลางลง ทำให้ประเทศในกลุ่มโอเปกต้องผลักดันน้ำมันส่วนเกินมาขายยังตลาดในแถบเอเชีย ความต้องการน้ำมันจากจีนและญี่ปุ่นก็ลดลง ทำให้เกิดสงครามราคาระหว่างผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในกลุ่มโอเปกคือ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และอิรัก
ผลของสงครามตัดราคายิ่งทำให้ราคาน้ำมันลดต่ำลง จึงทำให้กองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Fund) และกองทุนเก็งกำไรต่าง ๆ พากันเทขายสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า ที่กองทุนเหล่านี้ถือครองเอาไว้เป็นจำนวนมากออกมา จึงยิ่งกดดันราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวลดลงไปอีกอย่างรวดเร็วและรุนแรงสถานการณ์อย่างนี้นักวิเคราะห์คาดว่า น่าจะยืดเยื้อไปจนกว่าจะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวในราวปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะตรงกับกำหนดการประชุมของกลุ่มโอเปกในวันที่ 27 พ.ย. พอดี ซึ่งกลุ่มโอเปกอาจมีการพิจารณาทบทวนโควตาการผลิตในการประชุมครั้งนี้
ดังนั้นรัฐบาลน่าจะฉวยโอกาสที่ราคาน้ำมันกำลังเป็นขาลงนี้ รีบปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบโดยรีบด่วน เพราะจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภคมากนัก ถ้าไม่ทำตอนนี้ แต่ไปทำตอนราคาน้ำมันกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายปี ก็จะเกิดผลกระทบที่สูงขึ้นอันอาจนำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์และการคัดค้านที่รุนแรงได้
แล้วอย่ามาหาว่าผมไม่เตือนไม่ได้นะ.
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : โอกาสทอง – พลังงานรอบทิศ
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs