นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา สคบ.ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าในช่วงเทศกาลตรุษจีน บริเวณตลาดเก่าเยาวราช พบว่า สินค้าที่ผู้บริโภคเลือกซื้อเพื่อนำไปไหว้เจ้าส่วนใหญ่ ทั้งหมู ไก่ เป็ด และผลไม้ มีราคาสูงเกินจริงหลายเท่าตัว อาจเข้าข่ายถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบการได้ ดังนั้นสคบ.จึงได้ทำหนังสือถึงกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ขอให้มาตรวจสอบราคาสินค้าว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ เพื่อป้องกันผู้ประกอบการเอาเปรียบผู้บริโภค“เหมือนว่าผู้บริโภคจะถูกบังคับให้ซื้อสินค้าในช่วงนี้ที่มีราคาแพงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหน้าที่ของสคบ.เอง ไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบหรือเอาผิดกับผู้ค้าได้ เพราะไม่มีอำนาจหน้าที่ ดังนั้นจึงต้องประสานกรมการค้าภายในที่มีอำนาจเข้ามาสำรวจความเหมาะสมของราคา เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรม โดยการลงพื้นที่ตรวจสอบครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่า ราคาสินค้าแพงมาก เช่น ไก้ต้ม ราคาต่างกันตั้งแต่ 300-700 บาท แม้ว่าผู้ค้าจะอ้างว่า มีทั้งไก่บ้าน ไก่กวางตุ้ง หรือไก่พันธุ์อื่นๆ ให้ผู้บริโภคเลือกซื้อตามกำลังที่จะจ่าย และจะอ้างว่าในช่วงเทศกาลนี้ ราคาสินค้าหลายรายการจะมีราคาขึ้นสูงตั้งแต่ต้นทาง แต่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง คงต้องให้กรมการค้าภายในเข้ามาตรวจสอบก่อน”อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ตรวจสอบครั้งนี้ ยังเห็นว่า มีผู้บริโภคเข้ามาเลือกซื้อสินค้าบางตากว่าทุกปี สะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจซบเซา ผู้บริโภคกำลังซื้อลดลง โดยยอดขายส่วนใหญ่ของผู้ประกอบการลงลงกว่า 50% จึงเชื่อว่า ในภาวะตลาดที่ซบเซาแบบนี้ อาจมีความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการจะเอาเปรียบผู้บริโภคได้นายอำพล กล่าวว่า สคบ.ยังได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านจำหน่ายทองที่ย่านเยาวราช พบว่า ร้านทองส่วนใหญ่ปฏิบัติตามมาตรฐานของสคบ.อยู่ถูกต้อง และมีตราสัญลักษณ์ของสคบ.แสดงไว้ที่หน้าร้านอย่างชัดเจนว่า ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานอย่างถูกต้อง ขณะที่ทองรูปพรรณเอง จากการสุ่มตรวจก็มีมาตรฐานตามที่กำหนดไว้ ทั้งน้ำหนัก เปอร์เซนต์ทอง ตราสัญลักษณ์ที่ระบุจากโรงงานผู้ผลิตทองที่มีมาตรฐาน รวมทั้งแสดงราคาซื้อขายทองไว้อย่างชัดเจน จึงสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ว่า หากซื้อทองในร้านดังกล่าวมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : สคบ.สั่งสอบเครื่องเซ่นไหว้ตรุษจีนแพงหูฉี่
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า กรอ.อยู่ระหว่างเตรียมออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมบังคับให้โรงงานทั่วประเทศ จะต้องทำประกันที่คุ้มครองถึงบุคคลที่ 3 ลักษณะเดียวกับที่กระทรวงคมนาคมที่มีประกาศบังคับให้รถทุกคันที่ทำประกันต้องประกันครอบคลุมไปถึงบุคคลที่ 3 ด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาการเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานลามออกไปสร้างผลกระทบชุมชนรอบโรงงานหลายครั้ง ซึ่งประกันที่โรงงานทำไว้ไม่คุ้มครองผู้ได้รับผล กระทบ จะต้องมีการเรียกร้องความเสียหายกันภายหลัง กว่าจะได้เงินบางรายล่าช้ามาก “ ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อวันที่ 28 ม.ค. เป็นผลจากโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์มีสารไวไฟทินเนอร์ และไม้ที่เป็นเชื้อเพลิงจึงเกิดการลุกลามรวดเร็ว ปรากฎว่าได้สร้างความเสียหายแก่ชุมชุนโดยรอบด้วย เพราะนอกจากเพลิงไหม้ส่วนของโรงงานและเครื่องจักรทั้งหมดรวมถึงร้านจัดจำหน่ายซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์4 ชั้น และรถบรรทุกของบริษัทฯแล้ว ยังลุกลามไปไหม้อาคารพาณิชย์ข้างเคียงได้รับความเสียหาย 1 คูหา ต่อไปจึงเตรียมให้โรงงานต้องทำประกันบุคคลที่ 3 ด้วย ส่วนขั้นตอนนั้น ช่วงนี้เหตุการณ์ยังไม่ปกติ ทางกรอ.ก็จะจัดร่างประกาศและจะรับฟังความเห็นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อให้พร้อมนำเสนอให้ที่ประชุมครม. อนุมัติเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามา” สำหรับสถิติการเกิดอุบัติเหตุโรงงานที่อยู่ภายใต้การดูแลของ กรอ. ในปี 56 มีจำนวน 56 ราย เพิ่มขึ้น 15 % ส่วนใหญ่เป็นอุบัติเหตุไฟไหม้ 42 ราย เพิ่มขึ้น 40 % และอื่น ๆ เช่น หม้อน้ำระเบิด สารเคมีรั่ว คนงานเกิดอุบัติเหตุจากการปฏิบัติงาน 14 ราย ส่วนเดือน ม.ค. ปี 57 เกิดเหตุไฟไหม้แล้ว 3 ครั้ง โดยสาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดเหตุไฟไหม้พบว่า เกิดจากความประมาทของผู้ประกอบการเองและเจ้าหน้าที่ที่อาจยังไม่เข้มงวดในการเข้าไปติดตามมาตรการป้องกันของโรงงาน ทั้งนี้ต่อไป กรอ.จะกำชับเจ้าหน้าที่ให้เพิ่มความเข้มงวดเข้าไปตรวจสอบโรงงาน โดยเฉพาะปีนี้ที่อากาศหนาวนาน เมื่อรวมกับฤดูร้อนที่จะมาถึงทำให้ช่วงเวลาที่อากาศแห้งแล้งจะยาวกว่าทุกปี ซึ่งโรงงานที่ต้องเพิ่มความเข้มงวดคือโรงงานที่มีวัสดุผลิตที่ติดไฟง่ายและเป็นเชื้อเพลงอย่างดี เช่น เฟอร์นิเจอร์ สารเคมีวัตถุไวไฟ 
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯได้ปรับยุทธศาสตร์ส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง โดยกำชับให้ทูตพาณิชย์ 65 แห่งทั่วโลก เร่งทำแผนงานการค้าเชิงรุก เน้นติดต่อกับผู้ซื้อต้นทางในแต่ละประเทศโดยตรง เพื่อตัดวงจรพ่อค้าคนกลางออกไป เช่น การออกไปเยี่ยมเยียนผู้ซื้อตัวจริง การหารือผู้นำเข้ารายใหญ่ เพื่อรับรู้ถึงความต้องการสินค้า พร้อมกับแนะนำผู้ส่งออกไทยที่ส่งออกสินค้าคุณภาพ ไปเจรจากับผู้นำเข้าโดยตรงด้วย นอกจากนี้ในไตรมาส 1 และ 2 ปีนี้ กรมฯ ยังมีแผนนำคณะผู้แทนการค้า 7 กลุ่มสินค้าเป้าหมายไปเจรจาเปิดตลาดการค้าต่างแดนเพิ่มเติม ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า, ยานยนต์, อุปกรณ์และส่วนประกอบ, วัสดุก่อสร้าง, เกษตรและอาหาร, อัญมณีและเครื่องประดับ ,เครื่องนุ่งห่ม ผ้าผืนและเส้นด้าย และเครื่องหนัง, ไลฟ์สไตล์, โลจิสติกส์ทางการค้า และสุขภาพและความงาม นางนันทวัลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับการส่งเสริมการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะนำคณะผู้แทนการค้าไทยไปเจรจาการค้าในต่างประเทศ และนำคณะผู้แทนการค้าจากต่างประเทศมาเยือนไทย โดยมุ่งเน้นตลาดเอเชียใต้ อาเซียน ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา พร้อมกับร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ 2 งาน ในฮ่องกง และอิตาลี ส่วนลุ่มเกษตรและอาหาร มีแผนงานจะเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ 14 งาน เช่น อานูกา 2013 ที่เยอรมนี) , ซีฟู้ด เอ็กซโป ที่เบลเยี่ยม – สหรัฐฯ, ฟูดเด็กซ์ ที่ญี่ปุ่น, กัลฟ์ฟู้ด ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เวิลด์ฟู้ด มอสโค ที่รัสเซีย พร้อมกับทำส่งเสริมการขาย ณ จุดขายในตลาดหลัก 13 งาน และตลาดศักยภาพ 26 งาน เช่น ในห้างคาดาเว ที่เยอรมนี) ห้างเทสโก้ สหราชอาณาจักร ห้างโลตัส จัสโก้ วอลมาร์ท เป็นต้น ตลอดจนการจัดงานครัวไทยสู่ครัวโลกในต่างประเทศ และการส่งเสริมการขายผ่านออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ น.ส.วรรณศรี โชติกะพุกกณะ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี กล่าวว่า ได้เข้าพบ บริษัท ยูโรฟู้ด ณ สำนักงานใหญ่ พร้อมกับแนะนำผู้ประกอบการไทย 4-5 ราย ให้รู้จักและเจรจาธุรกิจร่วมกัน โดยบริษัท ยูโรฟู้ด ถือเป็นผู้นำเข้าอาหารรายใหญ่ กระจายสินค้านำเข้าจาก 5 ทวีปทั่วโลกไปกว่า 50 ประเทศ และจัดส่งให้แก่ซุปเปอร์มาร์เก็ตในอิตาลีด้วย ทั้งนี้การติดต่อกับผู้นำเข้าโดยตรง จะทำให้รู้ความต้องการสินค้าได้ทันทีและยังลดปัญหาการสั่งซื้อสินค้าที่ยุ่งยาก และได้ราคาดีกว่าการผ่านพ่อค้าคนกลางอีกด้วย ที่สำคัญบริษัทสามารถควบคุมมาตรฐานและคุณภาพของสินค้าได้ตามที่กำหนด 
