รายงานข่าวจากธนาคารพาณิชย์แจ้งว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน เริ่มตั้งแต่วันนี้ -31 ม.ค.นี้ ธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ได้สำรองเงินสดไว้ให้กับประชาชนวงเงิน 123,263 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยเชื้อสายจีนได้เบิกถอนเงินสดใช้จ่ายเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และให้เงินอั่งเปากับญาตมิตร และบุตรหลาน โดยตรุษจีนปีนี้ไม่ค่อยคึกคักหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เห็นได้จากการสำรองเงินสดของธนาคารขนาดใหญ่อยู่ภาวะทรงตัวไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่มีบางธนาคารที่เพิ่มสำรองธนบัตร เช่น กรุงไทยและกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองทำให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย และธนาคารพาณิชย์มองว่าสินค้าที่ซื้อเซ่นไหว้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทีจำเป็นเท่านั้น เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตไม่มากนักเฉลี่ยประมาณ 3% โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยการเมืองเป็นหลัก หากยืดเยื้อและรุนแรงจีดีพีอาจต่ำกว่า 3% อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีปัญหาเงินสดไม่เพียงพอต่อการเบิกถอนของประชาชน เพราะได้เตรียมสำรองเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็มและสาขาอย่างสม่ำเสมอ รายงานข่าวจากธนาคารกรุงเทพแจ้งว่า ธนาคารได้มีการสำรองเงินสดตรุษจีนประมาณ 35,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาผ่านสาขาธนาคาร สาขาไมโครภายในห้างสรรพสินค้ากว่า 1,100 แห่ง และช่องทางบริการเอทีเอ็มที่มีกว่า 8,500 จุดทั่วประเทศ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการเงินสดของประชาชนสำหรับใช้จ่ายในช่วงเทศกาล พร้อมสำรองธนบัตรใหม่บางส่วนสำหรับใช้เป็นเงินอั่งเปามอบเป็นธรรมเนียมในเทศกาลปีใหม่จีน นอกจากนี้ ธนาคารได้เตรียมความพร้อมสำหรับดำเนินการเพิ่มความถี่ในการเติมเงินยัง ตู้บัวหลวงเอทีเอ็มเป็นกรณีพิเศษด้วย สำหรับธนาคารไทยพาณิชย์สำรองธนบัตร เพื่อรองรับการใช้บริการของลูกค้า จำนวน 32,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นในเขตกรุงเทพฯ 15,000 ล้านบาท และในเขตต่างจังหวัด 17,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นธนบัตรฉบับใหม่ประมาณ 10,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันธนาคารมีสาขาทั้งหมด 1,173สาขา เครื่องเอทีเอ็มรวม 9,142 เครื่อง ขณะที่ธนาคารกรุงไทยสำรองธนบัตรตรุษจีนในช่วงวันที่ 20 -31 ม.ค. จำนวน 28,175 ล้านบาท จากปีที่แล้วสำรอง 22,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.61% ขณะที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้สำรองเงินสด ผ่านเครื่องกรุงศรีเอทีเอ็มและสาขาของธนาคารทั่วประเทศ รวม 20,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จำนวน 3,102 ล้านบาทหากเทียบกับปี 56 ผ่านเอทีเอ็ม จำนวน 15,289 ล้านบาท และผ่านสาขาของธนาคาร 5,299 ล้านบาท โดยปัจจุบันธนาคารมีสาขาจำนวน 610 สาขา และเครื่องเอทีเอ็ม จำนวน 4,593 เครื่องทั่วประเทศ ส่วนธนาคารทหารไทยสำรองเงินสดประมาณ 7,500 ล้านบาท ลดลง 500 ล้านบาท จากปี 56 อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตู้เอทีเอ็ม 3,500 ล้านบาท ที่เหลือ 4,000 ล้านบาทผ่านสาขา โดยธนาคารมีสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล 201 สาขา ต่างจังหวัด 252 สาขา และตู้เอทีเอ็มกรุงเทพฯและปริมณฑล 1,299 ตู้ ต่างจังหวัด 1,098 ตู้
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : แบงก์แห่สำรองเงินสดรับมือตรุษจีน
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
วันที่ 23 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16:45 น. เว็บไซต์สมาคมค้าทองคำ ประกาศปรับราคาทองคำในประเทศครั้งที่ 3 โดยเพิ่มขึ้นจากเดิม 50 บาท ทำให้ราคาปัจจุบันอยู่ที่ รูปพรรณขายบาทละ 19,800 บาท รับซื้อ 19,025.80 บาท ทองแท่งขายบาทละ 19,400 บาท รับซื้อ 19,300 บาท
นางอรรชกา สีบุญเรืองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การดำเนินโครงการต่างๆ ของกสอ.ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น เนื่องจากโครงการทั้งหมดได้ผ่านการอนุมัติงบประมาณปี57 มาแล้วและเริ่มมีการจัดทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่ไตรมาสแรของปีงบประมาณ คือระหว่างเดือน ต.ค.-ธ.ค. และจะเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการต่างๆได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 และมากขึ้นในไตรมาสที่ 3 และ 4 โดยงบประมาณส่วนใหญ่ เป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการในภาคการผลิตที่ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี 800 ล้านบาท “แม้ตอนนี้จะมีการปิดหน่วยงานราชการที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าทำงานที่กรมฯได้แต่ได้ให้เจ้าหน้าที่ทำงานที่บ้านรวมถึงให้ออกทำงานนอกสถานที่เนื่องจากงานของกสอ.ไม่ได้เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับงานบริการต้องออกใบอนุญาตต่างๆจึงไม่จำเป็นต้องมีสถานที่ทำงานเป็นหลักแหล่งชัดเจน” สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองต่อผู้ประกอบการภาคการผลิตตอนนี้ยังไม่ชัดเจนเนื่องจากโรงงานและฐานการผลิตส่วนใหญ่อยู่นอกพื้นที่การชุมนุม แต่ก็มีการติดตามสถานการณ์เพื่อสรุปและออกแนวทางช่วยเหลือหากผู้ประกอบการกรณีได้รับผลกระทบต่อไป และปี 57 กสอ.ยังคงเดินหน้าโครงการจัดการพลังงานแบบสมบูรณ์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับอุตสาหกรรม(ทีอีเอ็ม) ซึ่งเน้นช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพลดการสูญเสียในระหว่างการผลิตซึ่งตั้งเป้าหมายว่าสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะลดต้นทุนพลังงานได้ไม่น้อยกว่า5% ทั้งนี้โครงการดังกล่าว ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 46 – 56 รวมแล้วทั้งหมด 11 รุ่น มีสถานประกอบการเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 833 กิจการ แต่เฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา(54-56) กสอ.ได้ใช้งบประมาณสำหรับโครงการนี้ไปทั้งสิ้น29 ล้านบาท ได้ช่วยให้สถานประกอบการที่เข้าร่วม 299 รายสามารถลดการใช้พลังงานรวมกันได้ 900 ล้านบาท โดยโครงการประจำปีงบประมาณ57 ขณะนี้อยู่ในช่วงเปิดรับสมัครผู้ประกอบการ ซึ่งผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหรรมทั้ง 11 แห่งทั่วประเทศ 
