แนะใช้บริการอาลีบาบา เว็บค้าส่งออนไลน์ ทำตลาดเออีซี แจงแค่ซื้อที่คาดผมจากสำเพ็งมาขายก็รวยได้ นายไพรัช ศรีนครินทร์ กก.ผจก.บริษัทไวส์ซัคเซส(ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินการศูนย์ฝึกอบรมอย่างเป็นทางการของเว็บอาลีบาบาดอตคอม(Alibaba.com) เปิดเผยว่า การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ที่ทำให้ 10 ประเทศรวมเป็นหนึ่ง ซึ่งจะเกิดความสะดวกในการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบและแรงงานจะสร้างโอกาสแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะหน้าใหม่หรือคนที่เพิ่งจบการศึกษา ที่จะค้าส่งผ่านโลกออนไลน์ทั้งการซื้อและขายผ่านเว็บไซต์อาลีบาบา นายไพรัช กล่าวอีกว่า ทุกคนมีโอกาสค้าขายกับอาลีบาบาเท่ากัน ไม่ยุ่งยากในการเป็นคนกลางหรือเทรดเดอร์ ที่จะรับคำสั่งซื้อส่วนสินค้าที่จะขายหาได้ทั้งจากผู้ผลิตสินค้าหัตถกรรม หรือห้างสรรพสินค้า เช่น บิ๊กซี หรือโลตัส เนื่องจากอาลีบาบาเป็นศูนย์กลางค้าส่งที่สำคัญของโลกมีผู้อยู่ในธุรกิจซื้อขายระดับคุณภาพมากกว่า 45 ล้านราย เช่น ตัวแทนห้างสรรพสินค้า โรงแรม รีสอร์ท โดยยกตัวอย่างเช่น เพิ่งมีการสั่งซื้อเครื่องครัวไปยังรีสอร์ทจากประเทศสาธารณรัฐมัลดีฟส์ นอกจากนี้ยังสามารถส่งกางเกงมวยไทย เครื่องรางของขลัง เช่น พระเครื่อง ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อหลายประเทศโดยเฉพาะในแถบอาเซียน “แทบจะเรียกว่าเริ่มต้นด้วยมือเปล่าคนที่เพิ่งจบการศึกษาหรือกำลังเรียน ก็ทำได้ โดยทำงานทางอินเทอร์เน็ตแสวงหาแหล่งสินค้าแล้วส่งไปขาย มีคนซื้อที่คาดผมจากย่านสำเพ็งโหลละ 100 บาทส่งไปขายต่างประเทศ ชิ้นละ 10 ดอลลาร์สหรัฐก็มี” นายไพรัช กล่าว สำหรับบริษัทไวส์ซัคเซส (ประเทศ ไทย) จำกัด ผู้ดำเนินการศูนย์ฝึกอบรมอย่างเป็นทางการของเว็บอาลีบาบาดอตคอมซึ่งเป็นตัวแทนนอกประเทศรายแรก นายไพรัชระบุว่า ได้เปิดให้ผู้สนใจเข้าอบรม ฟรี ห้องอบรมที่ชั้น 3 อาคารวรรณสรณ์ แยกพญาไท ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 10.00 น. และ 14.00 น. โดยสอบถามทางโทรศัพท์ 0-2642-7338-9 หรือลงทะเบียนได้ที่ http://wisethailand.com อาลีบาบา (www.alibaba.com) เป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ รายใหญ่ ก่อตั้งในประเทศจีนเมื่อปี 2542 ให้บริการตลาดออนไลน์ค้าขายทั่วโลกกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) แบบธุรกิจต่อธุรกิจหรือบีทูบี โดยมีกิจการอาลีบาบาชวนค้าส่งออนไลน์ในเออีซีลงทะเบียนเป็นสมาชิกประเภทซื้อขาย ถึง 76.3 ล้านคน จาก 240 ประเทศ.
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : อาลีบาบาชวนค้าส่งออนไลน์ในเออีซี
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
เคทีซี-กรุงไทยเปิดบ้านรับเออีซี นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร–ธุรกิจบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เคทีซีได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยขยายฐานสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีในหลายระดับ และเพื่อต้อนรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซีจึงได้ทำการศึกษาฐานข้อมูลลูกค้าของธนาคารกรุงไทย และพบว่ามีลูกค้าชาวลาว ซึ่งทำธุรกิจและอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงร่วมกันจัดโครงการเพื่ออำนวยความสะดวกด้านสินเชื่อบัตรเครดิตให้กับคนลาว ซึ่งอาศัยอยู่ในภาคอีสานและพื้นที่เชื่อมต่อกับประเทศลาว เพียงเปิดบัญชีเงินฝากประจำกับธนาคารกรุงไทยขั้นต่ำ 1 แสนบาท จะได้รับการอนุมัติบัตรเครดิตเคทีซีพร้อมวงเงินในบัตร 100% ของวงเงินฝาก (ไม่จำกัดยอดเงินฝาก) และในเฟสต่อไปจะขยายการให้สินเชื่อไปยังประเทศสมาชิก อื่น ๆ ในเออีซีเพิ่มเติม ซึ่งเราคาดว่าจะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี กปน. จับมือประปามาเลย์พัฒนาระบบ นายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการ กปน. และ Mr.Ybhg Tan Sri Rosali Ismail Executive Chairman of Puncak Niaga Holding Berhad : PNHB หรือ การประปาเมืองซีลางงอ ประเทศมาเลเซีย ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์เพื่อพัฒนาบุคลากร และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านระบบการผลิตและให้บริการน้ำประปาซึ่งกันและกันระหว่าง กปน. และการประปาเมืองซีลางงอ นายธนศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 นี้ ซึ่ง กปน. ตระหนักว่าความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการพัฒนาเศรษฐกิจและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีซึ่งกันและกัน จึงเป็นโอกาสอันดีที่การประปาเมืองซีลางงอ และ กปน. ได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพื่อพัฒนากระบวนงานและบุคลากรของทั้งสององค์กรให้ดียิ่งขึ้นให้สามารถให้บริการน้ำสะอาดแก่ผู้ใช้น้ำอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการกิจการประปาในภูมิภาคอาเซียนให้แน่นแฟ้นสืบไป. 
นายประสิทธิ์ สืบชนะ ประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เพื่อการส่งออก เปิดเผยว่า ขณะนี้ คณะกรรมการได้เร่งให้กรมสรรพากรสรุปการผลสอบการทุจริตภาษีแวตในส่วนที่ 2 ซึ่งคณะกรรมการได้ตรวจสอบและส่งข้อมูล 45 บริษัท ที่ส่งออกคอมพิวเตอร์เพื่อขอคืนภาษีไม่ถูกต้อง เนื่องจากเห็นว่าที่ผ่านมากรมสรรพากรได้ทำการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวไปมากแล้วกว่า 80-90%ทั้งนี้ เมื่อได้ผลการสอบข้อเท็จจริงกรมสรรพากร คณะกรรมการจะพิจารณาอีกครั้งว่ามีข้าราชการกี่คนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อทำการสอบวินัยเป็นการต่อ ซึ่งเรื่องการปราบทุจริตเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังให้ความสำคัญ แม้ว่าจะเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการ ทางกระทรวงการคลังยังมีการดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และจากการดูข้อมูลเบื้องต้น ข้าราชการที่เข้าไปเกี่ยวข้องเป็นคนละกลุ่มที่กระทรวงการคลังสอบข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้วและอยู่ระหว่างการสอบวินัยกับผู้ที่เกี่ยว"การสอบขยายผลครั้งที่ 2 เป็น 45 บริษัท กระทรวงการคลังเร่งสรุปข้อเท็จจริง เพื่อสอบวินัยข้าราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบฝ่ายนโยบาย เนื่องจากเป็นอำนาจของปลัดคลังในการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนี้ขึ้นมา รวมถึงการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการก็เป็นอำนาจของปลัดกระทรวงการคลังเช่นกัน"อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการตรวจสอบการคืนภาษีไม่ถูกต้อง กระทรวงการคลังได้ดำเนินการมาตั้งแต่กลางปี 56 พบว่ามีบริษัทที่เกี่ยวข้องถึง 65 บริษัท โดยสอบรอบแรกไปแล้วกว่า 20 บริษัท ซึ่งเป็นการส่งออกเศษเหล็กและขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลกระทบต่อภาครัฐทำให้เสียหายไปกว่า 4,000 ล้านบาท และพบว่ามีข้าราชการกรมสรรพากรเกี่ยวข้อง 18 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นข้าราชการระดับ 9 ถึง 4 ราย กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการสอบวินัยร้ายแรง และอีก 14 ราย อยู่ระหว่างกรมสรรพากรสอบวินัยร้ายแรง ซึ่งทั้ง 2 ส่วนยังไม่สรุปผลออกมา 
