นายศิษฎิวัชร ชีวิรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า การประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) จะทำให้สถานการณ์การท่องเที่ยวแย่ลงกว่าเดิม เนื่องจากปัจจุบันมีการชุมนุมที่ทำให้กรุงเทพฯมีภาพลักษณ์ด้านความไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว หากประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก นักท่องเที่ยวอาจยกเลิกการเดินทางมาประเทศไทยทั้งหมด ทั้งนี้ปัญหาการเมืองในขณะนี้ถือว่าวิกฤตมากเกินกว่าที่แต่ละฝ่ายจะตกลงกันได้ จึงทำให้ภาคเอกชนท่องเที่ยวยังมองไม่เห็นทางออกที่จะทำการตลาดหรือชี้แจงข้อเท็จจริง ๆ ต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวรู้ “ปัจจุบันนี้ การประกาศแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังการเข้ามาประเทศไทย ก็ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว หากมีการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินเข้ามาอีก ถึงแม้บางประเทศจะไม่ยกระดับหรือ บางประเทศยังไม่ประกาศเตือน ก็ไม่ช่วยอะไร เพราะนักท่องเที่ยวก็จะคิดว่าไม่สมควรมาท่องเที่ยวประเทศไทยในขณะนี้อยู่ดี” ด้านนางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า วันพรุ่งนี้จะนัดประชุมด่วนพิเศษเพื่อหารือ เรื่องการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่าจะส่งผลกระทบกับสถานการณ์การท่องเที่ยวมากน้อยแค่ไหน และ จะมีการประเมินสถานการณ์เป็นรายวันต่อไป
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เอกชนรับท่องเที่ยวทรุดกว่าเดิม
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
นายภักดีหาญส์หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมาได้เห็นชอบการขยายเวลาการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.-30 เม.ย.47 หลังจากได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) แล้ว โดยการดำเนินมาตรการดังกล่าวแม้ว่าจะทำให้กรมสรรพสามิตสูญเสียรายได้ไปเดือนละ9,000 ล้านบาท แต่ก็เป็นผลดีเพราะจะช่วยเหลือภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนได้ ขณะเดียวกันหากในอนาคตถ้าจัดตั้งครม.ชุดใหม่ได้เสร็จและปฏิบัติหน้าที่ได้ก่อนวันที่ 30 เม.ย.57 ก็ให้กระทรวงการคลังนำเรื่องนี้เสนอให้ครม. พิจารณาทบทวนความเหมาะสมทันทีเพื่อไม่ให้มีผลผูกพันกับรัฐบาลใหม่ทั้งนี้กรมสรรพสามิต ได้รายงานว่าเหตุผลที่ต้องขยายมาตรการดังกล่าวออกไป เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกยังทรงตัวระดับสูงโดยราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศยังมีราคาสูง หากปรับขึ้นภาษีขณะนี้ จะทำให้ประชาชนมีภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้นขณะเดียวกันสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หากไม่สามารถประชุมครม.เพื่อพิจารณาขยายเวลาภาษีได้จะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ10 บาทส่งผลให้เกิดความผันผวนด้านราคาพลังงานในประเทศอย่างรุนแรงนอกจากนี้ยังเห็นว่าน้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ และกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศดังนั้นจึงจำเป็นต้องขยายเวลาดังกล่าวออกไปให้เกิดความเหมาะสมและช่วยเหลือประชาชนให้ไม่ได้รับความเดือดร้อนนายชลิตรัตน์จันทรุเบกษา รองโฆษกฯ กล่าวว่า ที่ประชุมครม. ยังเห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี 57 จำนวน 43 รายการ คงเดิมต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงรัฐบาลรักษาการส่วนการพิจารณาทบทวนรายการสินค้าและบริการควบคุมใหม่นั้นขอให้เป็นอำนาจของรัฐบาลใหม่เข้ามาพิจารณาความเหมาะสมต่อไป 
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 57 ว่า รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 496,246 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 5,733 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.1% เนื่องจากปีก่อน มีการนำส่งรายได้จากการประมูลให้ใช้คลื่นความถี่ 3 จี ย่าน 2.1 เมกะเฮิร์ตซ์ 20,843 ล้านบาท ขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณ มีทั้งสิ้น 831,058 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 45,145 ล้านบาท หรือ 5.7% ทำให้ดุลเงินงบประมาณ ขาดดุล 334,812 ล้านบาท เมื่อรวบกับดุลเงินนอกงบประมาณ ที่ขาดดุล 7,674 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 342,486 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 63,294 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดหลังกู้ขาดดุลทั้งสิ้น 279,192 ล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ธ.ค.56 อยู่ที่ 324,732 ล้านบาท ทั้งนี้ จากการดำเนินนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราการเบิกจ่ายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 57 สูงกว่าเป้าหมายซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับฐานะการคลังที่อยู่ในระดับที่เข้มแข็ง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุน ให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่องในสภาวะความอ่อนไหวด้านการเมืองที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทย” 
