shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

บีโอไอปลื้มยอดทะลุเป้าหมาย1.1ล้านล้าน

นายอุดมวงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ช่วงปี 56 ที่ผ่านมา มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน2,237 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 1.11 ล้านล้านบาท สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 900,000ล้านบาท ทำให้เกิดการจ้างงาน 207,463 คน เนื่องจากนักลงทุนได้เร่งขอรับส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่หมดอายุเดือน ธ.ค. 56 ส่วนปี 57 นี้ ได้ตั้งเป้าหมายโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน900,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยเสี่ยง คือ สถานการณ์การเมือง หากยังยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยเฉพาะรายใหม่ ๆ ที่ไม่เคยลงทุนในไทย                 นอกจากนี้ยังมีความล่าช้าของโครงการเมกะโปรเจ็กค์ และโครงการบริหารจัดการน้ำส่งผลให้นักลงทุนที่เตรียมลงทุนในโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับทั้ง 2 โครงการต้องชะลอออกไปก่อน ส่วนปัจจัยเชิงบวกที่มีต่อการลงทุนคือความสนใจลงทุนในไทยจากญี่ปุ่นยังมีต่อเนื่องและอุตสาหกรรมหลักในไทยยังมีการลงทุนสูง  เพื่อเตรียมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) เช่น ยานยนต์ รวมทั้งอีโคคาร์ รุ่นที่2 พลังงานทดแทน การขนส่งทางอากาศ แปรรูปเกษตร และภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวรวมทั้งมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่จะสิ้นสุดปี 57 จะช่วยเร่งรัดให้เกิดการลงทุนได้แก่มาตรการส่งเสริมกิจการเอสเอ็มอี มาตรการส่งเสริมอีโคคาร์รุ่นที่ 2   สำหรับภาพรวมโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) ปี 56 มี 1,132 โครงการ ลดลง 28.5% มูลค่าเงินลงทุนรวม 524,768ล้านบาท ลดลง 19% โดยญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนสูงสุด562 โครงการ เงินลงทุนรวม 282,848 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 54% ของมูลค่าลงทุนจากต่างประเทศโดยการลงทุนจากญี่ปุ่นส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มกิจการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะและกิจการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน รองลงมาเป็นการลงทุนจากจีน 45 โครงการ มูลค่าลงทุน42,530 ล้านบาท  มาเลเซีย 35 โครงการมูลค่าเงินลงทุน 29,190 ล้านบาท สิงคโปร์ 93 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 22,781ล้านบาท  และฮ่องกง 39 โครงการมูลค่าเงินลงทุน 20,181 ล้านบาท                 “บีโอไอจะเร่งเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ  ในรูปแบบของการจัดกิจกรรมต่าง ๆโดยเน้นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การปรับยุทธศาสตร์ใหม่ของบีโอไอ เพื่อให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจแก่นักลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนหลักที่ลงทุนในไทยมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ญี่ปุ่น  เกาหลี และจีน ขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นนักลงทุนกลุ่มหลักอีกกลุ่มหนึ่ง จะเน้นดำเนินการในรูปแบบของการเจาะกลุ่มเป้าหมายรายบริษัทเป็นหลักโดยมีอุตสาหกรรมหรือกิจการที่เป็นเป้าหมายชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศแบ่งเป็น9 กลุ่มฯ เช่น เกษตรแปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตอิเล็กทรอนิกส์” ส่วนกิจการที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนในปีที่ผ่านมา คือกิจการบริการและสาธารณูปโภค 849 โครงการมูลค่าเงินลงทุน 522,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เทียบกับปี 55 รองมาเป็นกิจการในกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง 448 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 254,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น4% กิจการหมวดเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร 362 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 122,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38%

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : บีโอไอปลื้มยอดทะลุเป้าหมาย1.1ล้านล้าน

Posts related

 














“กิตติรัตน์” ลั่นพร้อมชี้แจงกกต.

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กำลังเตรียมความพร้อมในการเข้าไปชี้แจงกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกี่ยวกับแนวทางการขอกู้เงิน 130,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลผลิต 56/57 โดยยืนยันว่าเป็นโครงการต่อเนื่อง ที่ ครม. มีมติอนุมัติให้ดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส3 ปี 56 อีกทั้งไม่ได้เป็นการก่อภาระหนี้ก้อนใหม่แต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้เป็นการดำเนินการที่เป็นภาระ หรือกระทบต่อกรอบวินัยทางการคลังอีกด้วย "การกู้เงินในโครงการรับจำนำข้าว130,000 ล้านบาทนั้น ส่วนตัวผมเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในระบบของประเทศโดยเรื่องนี้ กระทรวงการคลังจะดำเนินการในแนวทางเดียวกันกับที่เคยได้สอบถาม เรื่องการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอล์ฟโลน) และการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเหลือ 0.005 บาทต่อลิตร ซึ่งในส่วนของการจ่ายเงินให้เกษตรกรที่นำข้าวเข้าโครงการและได้รับใบประทวนแล้วนั้น ขณะนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กำลังทยอยจ่ายเงินอย่างต่อเนื่อง"

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : “กิตติรัตน์” ลั่นพร้อมชี้แจงกกต.

“โต้ง”จับตา4ปัจจัยกระทบเศรษฐกิจ

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับ รักษาการรมช.คลัง และผู้บริหารของ 3 กรมจัดเก็บภาษี และพบว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้น ต้องจับตา 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ การส่งออก ที่ยังพอมีปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินบาท การลงทุนของภาครัฐ ซึ่งแม้จะเป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ แต่ได้อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ 57 ไว้เรียบร้อยแล้ว และยืนยันว่าทุกส่วนราชการ ยังสามารถเบิกจ่ายได้ตามปกติ รวมถึงการลงทุน และการบริโภคของภาคเอกชน ที่เริ่มเป็นห่วงว่า อาจได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่มั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอย และปัจจัยเรื่องรายได้ของภาคแรงงาน ที่อาจปรับตัวลดลง ซึ่งสอดคล้องกับการลงทุนของภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงตามไปด้วย ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลรักษาการ ทั้ง นายกรัฐมนตรี รวมถึงหน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ปิดสถานที่ราชการหลายแห่ง โดยได้กระจายการทำงานไปยังพื้นที่สำรอง ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ เพื่อลดสาเหตุของชนวนความขัดแย้ง และไม่ให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ สะดุดลง ยอมรับว่าจากสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ อาจทำให้ประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ลดลงไปบ้าง และหากยังมีการชุมนุมยืดเยื้อ อาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในระบบเศรษฐกิจของประเทศทั้งนักลงทุนในและนอกประเทศในระยะยาวได้ สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น ถือว่าเป็นภาวะปกติของการซื้อขายในตลาดหุ้น ที่ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้ออย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่ามีทั้งแรงซื้อและแรงขายเกิดขึ้น โดยมองว่าการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลดลงในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี สามารถสะท้อนได้ว่านักลงทุนทั้งในและต่างชาติ ยังคงมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : “โต้ง”จับตา4ปัจจัยกระทบเศรษฐกิจ

Page 1173 of 1552:« First« 1170 1171 1172 1173 1174 1175 1176 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file