วันที่ 28 ธ.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. เว็บไซต์สมาคมค้าทองคำ ประกาศปรับราคาทองคำในประเทศครั้งที่ 1 ขึ้น 50 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,300 บาท รับซื้อ 18,525.52 บาท ทองแท่งขาย 18,900 บาท รับซื้อ 18,800 บาท ราคาทองคำและครั้งที่ปรับ ราคาทองคำปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 50 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,300 บาท รับซื้อ 18,525.52 บาท ทองแท่งขาย 18,900 บาท รับซื้อ 18,800 บาท เวลา 09.00 น.
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ราคาทองคำ 28 ธ.ค.56 ปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 50 บาท
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก.พ.ร.ได้ประสานกับหน่วยราชการต่างๆ ให้เร่งรัดการประเมินผลข้าราชการตามตัวชี้วัด(เคพีไอ) ก่อนส่งผลการประเมินให้ ก.พ.ร.รับรอง จากนั้นจึงดำเนินการเบิกจ่ายเงินรางวัลประจำปีของข้าราชการ หรือโบนัสข้าราชการได้รวดเร็วขึ้น เพราะปัจจุบันการประเมินผลข้าราชการแต่ละหน่วยงานจะใช้เวลานาน โดยส่วนใหญ่จะใช้เวลานานถึง 3 – 4 เดือน หลังสิ้นสุดปีงบประมาณ ซึ่งก.พ.ร.มองว่า หากปรับปรุงระบบการประเมินให้รวดเร็วขึ้น อาจลดระยะเวลาเหลือเพียง2 – 4สัปดาห์เท่านั้น และทำให้ข้าราชการทุกหน่วยงานได้รับเงินโบนัสเร็วขึ้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน “หลังจากเข้ามารับตำแหน่ง ที่ก.พ.ร. ก็ไปดูว่าโบนัสของหน่วยราชการต่างๆ ยังค้างจ่ายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่หน่วยงานต่างๆ ก็บอกว่า การจ่ายโบนัส มาจากการประเมินคุณภาพการทำงานของข้าราชการ และจะส่งมาให้ กพร.ทำคำรับรอง ซึ่งการประเมินยังล่าช้าต้องใช้เวลา 3 – 4 เดือนให้หลังจากปีงบประมาณสิ้นสุด จากนั้นต้องส่งผลประเมินมาให้ ก.พ.ร.ตรวจสอบทำคำรับรองก่อนส่งเรื่องให้กับกรมบัญชีกลางจึงทำให้การเบิกจ่ายโบนัสข้าราชการยังมีความล่าช้า โดยขณะนี้โบนัสข้าราชการในปีงบประมาณ 55 ก็ยังจ่ายไม่หมด” แหล่งข่าวจากกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ความคืบหน้าการเบิกจ่ายโบนัสข้าราชการในปีงบประมาณ 55 นั้น หลังจากที่ครม.มีมติจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 55 สำหรับส่วนราชการ จังหวัดและสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ วงเงิน 3,745 ล้านบาท ตั้งแต่เดือน ก.ย.ที่ผ่านมา และข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 23 ธ.ค. 2556 ที่ผ่านมา มีหน่วยงานราชการต่างส่งผลการประเมินและคำรับรองจาก ก.พ.ร.ให้กับกรมบัญชีกลางเพื่อเป็นข้อมูลในการจ่ายโบนัสแล้ว 32 หน่วยงาน คิดเป็นเงินที่เบิกจ่ายไปแล้วประมาณ 352 ล้านบาท สำหรับหลักการจัดสรรเงินรางวัล แบ่งเป็น การจ่ายค่าตอบแทนตามผลงาน ซึ่งเป็นค่าตอบแทนที่ไม่มีผลผูกพันระยะยาว เพื่อจูงใจให้ข้าราชการสร้างสรรค์ผลงานโดยยึดโยงกับเป้าประสงค์ขององค์กรเป็นสำคัญ ขณะที่ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้ดำเนินการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการและมีผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปี ผ่านเกณฑ์ในระดับมาตรฐานหรือบรรลุค่าเป้าหมาย คือ ตั้งแต่ระดับคะแนน 3.0000 คะแนน ขึ้นไป จึงมีสิทธิได้รับการจัดสรรเงินรางวัลประจำปี นอกจากนี้จำนวนเงินรางวัลที่ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาได้รับขึ้นอยู่กับผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการจังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ในการจัดสรรให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำในสังกัด ห้ามไม่ให้มีการเฉลี่ยเท่ากันหรือหารยาว 
น.ส.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการกยศ.เมื่อวันที่26 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้นักศึกษาที่เรียนต่อปี 1 วุฒิปวส. และปริญญาตรีสามารถกู้เงินกับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต(กรอ.) เนื่องจากในปีงบประมาณ 57 กองทุนกยศ.ได้รับการจัดสรรประมาณ 16,800ล้านบาททำให้ปล่อยกู้กับนักเรียนและนักศึกษาได้จำกัด ดังนั้นจึงเร่งรณรงค์โครงการชำระหนี้ เพื่อนำมาปล่อยกู้ให้กับผู้กู้รายใหม่ โดยลูกหนี้กยศ.ที่ชำระหนี้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่31 มี.ค.นี้จะได้รับส่วนลดเบี้ยปรับและค่าธรรมเนียม เช่น ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการหากประวัติดีไม่มีการค้างชำระหนี้มาก่อน และต้องการปิดบัญชีจะได้รับการลดหย่อนหนี้ 3.5% ของเงินกู้ทั้งหมด เป็นต้น “กองทุนกรอ.มีเงินเพียงพอที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับนักเรียน นักศึกษา แต่ที่ผ่านมาไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากได้ระบุในเงื่อนไขว่าจะต้องเรียนในสาขาที่กำหนดไว้1,000 สาขาเท่านั้น เช่น สาขาบัญชี สาขาวิทยาศาสตร์ และคอมพิวเตอร์เป็นต้น รวมทั้งไม่ได้จำกัดรายได้ครอบครัว และถ้ารายได้ไม่ถึง 16,000บาทต่อเดือนก็ยังไม่ต้องชำระหนี้ ขณะที่หลักเกณฑ์การปล่อยกู้ของกยศ.เปิดกว้างสาขาการเรียน ซึ่งผู้กู้จะเรียนอะไรก็ได้ แต่จำกัดว่าครอบครัวจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 200,000 บาท และจะต้องชำระหนี้คืนเมื่อทำงานมีรายได้แล้ว” นอกจากนี้เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ของบกลางเข้ามาปล่อยกู้ให้กับนักเรียน นักศึกษาทั่วประเทศวงเงินเบื้องต้นประมาณ 2,000 ล้านบาท เพราะก่อนหน้านี้กองทุนฯ ถูกตัดงบไป 6,700ล้านบาท ทำให้กระทบต่อผู้กู้รายใหม่ 230,000 ราย และผู้กู้รายเก่า 140,000 ราย ซึ่งหากลูกหนี้ที่ค้างชำระหนี้นำเงินกลับมาชำระหนี้50% จะช่วยให้กองทุนฯมีเงินมาปล่อยกู้ให้นักเรียน และนักศึกษาใหม่และนักศึกษาเก่าที่กำลังศึกษาอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีลูกหนี้ที่ค้างชำระ1.2 ล้านราย คิดเป็นวงเงิน 12,000 ล้านบาท จากจำนวนผู้ที่ครบกำหนดชำระ2.7ล้านราย คิดเป็นวงเงิน 70,000 ล้านบาท 
