shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

ธปท.แนะรัฐหนุนผลิตยางพารา

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ภาครัฐควรเข้าไปสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราอย่างต่อเนื่อง ในการเร่งพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพราะหากอินโดนีเซียสามารถแซงหน้ากลายเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางพารา เป็นอันดับหนึ่งของโลกได้นั้น จะส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกต่อไทยอย่างมาก ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในขณะนี้ ทั้งนี้ ประเทศอินโดนีเซียถือเป็นคู่แข่งทางด้านการผลิตยางพาราที่น่าจับตามองของไทย เนื่องจากข้อได้เปรียบทางด้านแรงงาน การมีพื้นที่มาก ทำให้มีโอกาสขยายพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตเพิ่มขึ้น รวมทั้ง ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับต่ำ จึงสามารถขายผลผลิตในตลาดโลกได้ในราคาที่ถูกกว่า จึงเป็นสาเหตุทำให้ไทยถูกแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไป  “ที่ผ่านมา อินโดนีเซียยังมีข้อได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิตยาง โดยไม่มีการเก็บเงินสงเคราะห์เหมือนอย่างไทย ทำให้ต้นทุนการส่งออกจึงถูกกว่า และสามารถแข่งขันทางด้านราคาได้ รวมทั้ง การที่มีประชากรและกำลังแรงงานจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่ขาดทักษะ ค่าจ้างในการกรีดยางและค่าจ้างในโรงงานอุตสาหกรรมยางแปรรูปยังอยู่ในระดับต่ำและถูกกว่าเมื่อเทียบกับแรงงานไทย จึงทำให้ผลผลิตยางธรรมชาติสามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งรายอื่นในตลาดโลก” อย่างไรก็ตาม สภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยางล้อหลายบริษัทให้ความสำคัญกับต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลงภายใต้การรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ยางขั้นสุดท้าย เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยจะทำการซื้อยางจากโรงงานที่ผ่านมาตรฐาน กระบวนการผลิตและคุณภาพสินค้าตามที่กำหนด ซึ่งโรงงานแปรรูปยางในอินโดนีเซียหลายแห่งมีศักยภาพและสามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานการตรวจสอบเหล่านี้ได้ ดังนั้น อาจส่งผลให้แนวโน้มการนำเข้ายางจากประเทศผู้ผลิตอย่างไทยหรืออินโดนีเซีย เกี่ยวกับราคาเปรียบเทียบ จึงเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ธปท.แนะรัฐหนุนผลิตยางพารา

Posts related

 














ททท.เล็งปรับเกณฑ์ใช้จ่ายท่องเที่ยวใหม่

นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.อาจมีการปรับเกณฑ์รายได้ในคำนิยามตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวใช้จ่ายสูง(ไฮเอนด์)ของภูมิภาคเอเชียใหม่ให้แตก ต่างกับตลาดยุโรปเนื่องจากเดิมนั้นจะหมายถึงผู้ที่มีรายได้ 1.8 ล้านบาท ต่อปีขึ้นไป แต่พบว่าอาจจะไม่สอดคล้องกับอัตราค่าครองชีพของประเทศ ในกลุ่มเอเชียซึ่งต่ำกว่ากลุ่มประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปโดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่และทำรายได้อันดับ 1 ให้ไทยขณะนี้ พนักงานในระดับบริหารมีเงินเดือนเพียง 75,000 บาท ขึ้นไป ทั้งนี้อยู่ระหว่างการหารือความเป็นไปได้ในการแก้ไข รวมถึงการกำหนดรายได้ที่สะท้อนสถานการณ์ค่าครองชีพจริงนอกจากนี้ ในด้านกลยุทธ์ตลาดเอเชียที่เตรียมรุกเพิ่มในปีหน้า คือกลยุทธ์เจาะตรงผู้บริโภค(บีทูซี) มากขึ้น เพื่อรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) ในเอเชียที่เพิ่มมากขึ้น โดยในตลาดจีนสัดส่วนเริ่มสูงเป็น 40% และคาดว่าเมื่อกฎหมายท่องเที่ยวจีนฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ในเชิงควบคุมบริการ ของบริษัททัวร์มากขึ้น จะทำให้ตลาด FIT มีโอกาสเพิ่มสูงถึง 50-60% “ททท.จะเริ่มหันจากกลยุทธ์บีทูบี หรือการติดต่อทำการตลาดผ่านเอเยนต์ทัวร์ มาใช้ช่องทางออนไลน์ติดต่อตรงถึงตัวนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะเป็นช่องทางที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางสูง โดยจะเน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลและชักชวนทำกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้ เกิดความต้องการทางตลาด”ส่วนกลยุทธ์ด้านออนไลน์นั้น ตลาดที่มีความพร้อมในการรุกกลยุทธ์ออนไลน์ที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น และ จีน โดยต่อไปนี้จะให้ทั้ง 5 สำนักงาน ททท.ในจีน และ 3 สำนักงานในญี่ปุ่น หลอมรวมแคมเปญตลาดภายใต้โครงการเดียวกัน เพื่อโหมโปรโมตให้เห็นผลตอบรับวงกว้างพร้อมกันทั้งประเทศ ซึ่งในจีนจะเจาะกลุ่มนักกอล์ฟและคู่แต่งงานและฮันนีมูน ส่วนญี่ปุ่นเจาะตลาดลองสเตย์ นางศรีสุดา  กล่าวว่า จะไม่ลดบทบาทความสำคัญของเอเยนต์ เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวเกิดความต้องการเดินทาง ก็จะหันมาใช้บริการเอเยนต์บางส่วนในการจัดการเดินทาง โดยปัจจุบันเริ่มพบว่าบริษัทนำเที่ยวเริ่มปรับตัวรับตลาดเอฟไอที แล้วเช่นกัน จากเดิมที่ขายโปรแกรมทัวร์ทั้งหมด ก็หันมาให้บริการจองที่พักและโรงแรม แม้กระทั่งกลุ่มโรงแรม ก็เริ่มมีการคัดเลือกเอเยนต์ที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นเอฟไอที มากขึ้น เพราะสามารถทำราคาได้ดีกว่า ทั้งนี้ ในปี 56 คาดว่าตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ จะมีนักท่องเที่ยว 18.24 ล้านคน ทำรายได้ประมาณ 652,000 ล้านบาท ส่วนตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา มี 7.87 ล้านคนทำรายได้ประมาณ 522,000 แสนล้านบาท

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ททท.เล็งปรับเกณฑ์ใช้จ่ายท่องเที่ยวใหม่

ออมสินยันแผนเงินฝากทะลุแสนล้าน

นายพิศิษฐ์  เสรีวิวัฒนา  รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน  เปิดเผยว่า  ธนาคารยังไม่ปรับเป้าเงินฝากใหม่ เพราะตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมียอดเงินฝากอยู่ที่ 80,000 กว่าล้านบาท จากเป้าปีนี้ตั้งไว้  100,000 ล้านบาท เชื่อว่าได้ตามแผนที่วางไว้ แม้ว่าช่วงที่ผ่านมามีปัญหาการเมืองในประเทศ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีอัตราการเติบโตปีนี้ประมาณ 3% แต่ในปี 57 คาดว่าเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมีหน่วยงานหลายแห่งประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 4-5% ดังนั้นเงินฝากและสินเชื่อปีหน้าจะเติบโตใกล้เคียงกับจีดีพี สำหรับการแข่งขันระดมเงินฝากในปลายปีมีไม่มากนัก แต่ในช่วงต้นปี 57 ขึ้นอยู่กับความต้องการสินเชื่อทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนจะมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากมีปริมาณมากก็จะทำให้การแข่งขันมีเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของธนาคารในแต่ละแห่งด้วยว่าจะเป็นอย่างไร แต่มองว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ภาวะทรงตัว  เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว ราคาน้ำมันดิบในตลาดต่างประเทศก็ไม่ได้สูงมากนักจึงเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อเงินเฟ้อ ส่วนการยุบสภาฯ ทำให้โครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทต้องหยุดชะงักลงนั้น เชื่อว่าจะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจมากนัก และมองว่าปัญหาการเมืองจะกระทบเศรษฐกิจในช่วงสั้น ๆ                 นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน  กล่าวว่า  ได้เปิดตัวเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 100+1 วัน อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี (ยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก)  ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้  เพื่อฉลองสาขาเซ็นทรัลบางนา  ซึ่งเป็นสาขาที่ 1000   เน้นกลุ่มลูกค้าบุคคลธรรมดาที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป  โดยลูกค้าเปิดบัญชีขั้นต่ำ 50,000 บาท ฝากได้ไม่เกิน 1 ล้านบาท สำหรับลูกค้า 1,000 รายแรกที่ฝากเงิน ณ สาขาเซ็นทรัลพลาซา บางนา เท่านั้น อย่างไรก็ตาม  ในเดือนพ.ย. ที่ผ่านมามีสินทรัพย์รวมได้ขยายตัวมากกว่า 2 ล้านล้านบาท สินเชื่อรวมอยู่ที่ 1.65 ล้านล้านบาท และมีเงินฝากถึง 1.76 ล้านล้านบาท  

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ออมสินยันแผนเงินฝากทะลุแสนล้าน

Page 1286 of 1552:« First« 1283 1284 1285 1286 1287 1288 1289 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file