นายจุฬา สุขมานพผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) เปิดเผยถึงผลกระทบจากการยุบสภาและกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องวินิจฉัย พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่า จะทำให้โครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการตามแผน พ.ร.บ. กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในปี 57 ล่าช้าออกไป คิดเป็นลงทุนรวมกว่า80,000 ล้านบาท อาทิ โครงการก่อสร้างและขยายถนน 4 เลนระยะที่2 โครงการปรับปรุงอาณัติสัญาณและรั้วกั้นทางรถไฟ โครงการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังที่จ.พระนครศรีอยุธยา ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าที่เชียงของ จ.เชียงราย โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ปาดังเบซาร์เพื่อเชื่อมกับรถไฟของมาเลเซียรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 58 รวมถึงโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีนบุรี-แคราย ซึ่งอยู่ระหว่างทำเรื่องเสนอ ครม. ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน)อยู่ระหว่างการศึกษาและไม่มีแผนลงทุนในปี 57 จึงขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ว่าจะดำเนินการอย่างไรหากให้เดินหน้าต่อก็ทำได้ตามขั้นตอน เพราะขณะนี้ สนข.กำลังศึกษาและรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ครบทั้ง4 เส้นทางก่อน “เรื่อง 2 ล้านล้านบาท เป็นงานระดับนโยบาย ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่จะดำเนินการต่อหรือไม่โดยงบประมาณในโครงการ 2 ล้านล้านบาทส่วนใหญ่ จะเป็นโครงการที่ใช้เพื่อลงทุนก่อสร้างมีเงินเพียงส่วนน้อยที่นำมาใช้ในการศึกษาออกแบบ ดังนั้น ระหว่างนี้การศึกษาความเหมาะสมต่างๆซึ่งใช้เงินจากงบประจำปี ยังทำต่อไปได้ หากได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหาร หากเห็นด้วย ก็สามารถเดินหน้าต่อได้ทันที”
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : การเมืองกระทบแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาท
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) เปิดเผยว่า สนข.ได้ร่วมมือกับ 12 หน่วยงาน ผลักดันโครงการจัดทำระบบตั๋วร่วม และจัดทำศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (ซีซีเอช) เพื่อใช้ชำระค่าบริการทางด่วน รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือโดยสาร และร้านสะดวกซื้อ โดยตั้งเป้าหมายคัดเลือกบริษัทที่เหมาะสมเข้ามาพัฒนาระบบให้ได้ในเดือนก.พ. 57 ก่อนเปิดให้บริการได้เต็มรูปแบบในปี 58-59 ทั้งนี้ปัจจุบันมีบริษัทต่างประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมประกวดราคาทำระบบตั๋วร่วมแล้วประมาณ 20-30 ราย ซึ่งหลังจากสิ้นสุดเดือนม.ค.57 จะมีการสรุปและประกาศผู้มีความเหมาะสมให้เข้ามาทำระบบได้ โดยระหว่างการพัฒนาระบบจะทยอยเปิดให้บริการบางประเภทก่อน เช่น ระบบทางพิเศษหรือทางด่วน รถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ จะสามารถใช้ได้ปลายปี 57 ขณะที่รถเมล์ ขสมก.ใช้บริการได้เมื่อจัดซื้อรถใหม่มาให้บริการได้ ส่วนร้านสะดวกซื้อสามารถใช้บริการได้ประมาณปี 58-59 เป็นต้น โดยการดำเนินงานในเรื่องนี้ สนข.จะทำหน้าที่จัดเตรียมระบบต่างๆให้ แต่การบริหารจัดการจะมีองค์กรขึ้นมาดูแลโดยตรง ซึ่งอาจเป็นบริษัทลูกของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) โดยรัฐเป็นผู้ดูแลก่อนในช่วงแรก จากนั้นจะให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการ นายจุฬากล่าวว่า การดำเนินงานตั๋วร่วมจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะได้เริ่มดำเนินการมาหลายรัฐบาลแล้ว และจะต้องดำเนินการต่อไป เพราะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบขนส่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นงานประจำของหน่วยงานภาครัฐที่จะต้องเตรียมไว้เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไป ถึงแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศก็ตาม 
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยถึงรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเผยแพร่สู่สาธารณะชนผ่านเว็บไซต์ของวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า เนื้อหารายงานโดยสรุปและสาระสำคัญตอนหนึ่ง ระบุว่า ขณะนี้ กนง.มีความเป็นห่วงเรื่องเสถียรภาพการเงินลดลงเนื่องจากอัตราการขยายสินเชื่อภาคเอกชนรวมทั้งสินเชื่อภาคครัวเรือนปรับตัวชะลอลงต่อเนื่องแต่สินเชื่อครัวเรือนรายย่อยเริ่มมีสัญญาณการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น แม้สถาบันการเงินได้เพิ่มความระมัดระวังในการให้สินเชื่อโดยเฉพาะผู้กู้รายบุคคลมากขึ้นเพื่อช่วยลดทอนความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง “แม้กนง.จะเห็นว่าเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินมีความเสี่ยงลดลงตามการชะลอลงของสินเชื่อซึ่งกำลังปรับตัวเข้าสู่ระดับที่สมดุลกับภาวะเศรษฐกิจมากขึ้นหลังจากขยายตัวในเกณฑ์สูงตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลงความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้อาจมีมากขึ้นจึงต้องเฝ้าติดตามและประเมินความเสี่ยงดังกล่าวต่อไป รวมทั้งยังติดตามผลกระทบของการลดอัตราดอกเบี้ยต่อกระบวนการปรับตัวด้านเสถียรภาพการเงินอย่างใกล้ชิดเพราะนโยบายการเงินที่ผ่อนปรนมากและยาวนานเกินไปอาจส่งผลลบต่อการออมในระยะยาว ขณะที่สถาบันการเงินมีแนวโน้มระมัดระวังในการปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้น” 
