shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

ขนส่งไล่ปราบกลุ่มมิจฉาชีพหน้าม้า

นายอัฌษไธค์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกกำลังเร่งปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพที่เข้ามาหลอกหลวงประชาชนที่มาติดต่อราชการกับกรมการขนส่งทางบกโดยจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตามจุดต่าง ๆ ภายในบริเวณกรมการขนส่งทางบก เพื่อสอดส่อง และสังเกตพฤติกรรมบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมฉ้อฉล พร้อมกับขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 จัดชุดตรวจการออกปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพได้แฝงตัวเข้ามาหลายรูปแบบต่าง เช่น การขับขี่รถจักรยานยนต์ประกบรถยนต์ที่ขับผ่านสถานีรถไฟฟ้า จตุจักร โดยจะสังเกตว่ารถคันใดเตรียมชิดซ้ายเพื่อจะเลี้ยวเข้ากรมการขนส่งทางบกก็จะเข้าประกบเคาะกระจกรถยนต์ และอาสาดำเนินการให้ โดยเรียกทรัพย์สินเป็นค่าตอบแทน หรือบางกรณีมีการจอดรถจักรยานยนต์ดักรออยู่บริเวณประตูทางเข้ากรมการขนส่งทางบก เพื่อตามประกบผู้ที่ขับรถเข้ามาภายในกรมการขนส่งทางบก นอกจากนี้ ยังอาจแฝงเข้ามาในรูปแบบของจักรยานยนต์รับจ้าง รวมทั้งการเดินประกบประชาชนจากบริเวณด้านนอกกรมการขนส่งทางบก ซึ่งหากหลงเชื่อนอกจากต้องเสียทรัพย์สินแล้วยังอาจได้รับเอกสารปลอมด้วย และหากนำไปใช้จะมีความผิดตามกฎหมายฐานใช้เอกสารราชการปลอม “กรมการขนส่งทางบกได้จัดส่งผู้ตรวจการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อและตำรวจ 191 ออกตรวจตรา และเฝ้าระวังกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งขอความร่วมมือสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ เพิ่มโทษด้วยการเปรียบเทียบปรับในอัตราที่สูงขึ้น กับผู้ที่กระทำความผิดซ้ำซาก พร้อมบันทึกประวัติเพื่อการเฝ้าระวังด้วย ราย นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันกลุ่มมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาหลอกลวงประชาชนที่ติดต่อราชการ กรมการขนส่งทางบกได้ออกมาตรการตรวจเข้มบัตรประจำตัวของผู้จำหน่ายรถที่มาติดต่อราชการ โดยขอให้ตัวแทน ทุกคนต้องติดบัตรในการติดต่อราชการภายในกรมการขนส่งทางบกด้วยทุกครั้ง” นายอัณษไธด์กล่าวต่อว่า กรมฯยังจัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อให้คำแนะนำและรับแจ้งเหตุจากประชาชนที่ถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวง บริเวณด้านหน้า อาคาร 4 กรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที จึงขอความร่วมมือประชาชนที่มาติดต่อราชการกับกรมการขนส่งทางบก ให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานโดยตรงเท่านั้น หรือสอบถามได้ที่สายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผลการดำเนินการจับกุมกลุ่มมิจฉาชีพรอบ 10 เดือน (ม.ค.–ต.ค.56) สามารถจับกุมผู้ที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อนรำคาญกับผู้มาติดต่อราชการภายใน กรมการขนส่งทางบกได้ 22 ราย ขณะที่ปีที่แล้วจับกุมได้ 161 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 86.33% ส่วนจับกุมผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ด้วยการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถผิดกฎหมายมาติดตั้ง 27 ราย และจับกุมผู้นำรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมาวิ่งรับจ้างโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก 1,527 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจฯ ได้นำส่งเจ้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายแล้ว ส่วนการสำรวจความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการของกรมการขนส่งทางบก จากการสำรวจความเห็นผู้ใช้บริการ ณ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1–5 และสำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ เดือนเม.ย.-ก.ย.56 พบว่า ความคิดเห็นของประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อการให้บริการถึง 90.6% ในจำนวนนี้พบว่างานด้านทะเบียนและภาษีรถ ประชาชนให้ความเชื่อมั่นสูงสุด รองลงมาเป็นด้านตรวจสภาพรถ และด้านใบอนุญาตขับรถ ขณะที่การให้บริการสำนักงานขนส่งต่างจังหวัด จ.สุรินทร์ ประชาชนมีความเชื่อมั่นสูงสุด รองลงมาเป็นอุดรธานี และนครศรีธรรมราช

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ขนส่งไล่ปราบกลุ่มมิจฉาชีพหน้าม้า

Posts related

 














จ้างศึกษาท่าเรือปากบารา

นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่าเตรียมจ้างที่ปรึกษาเข้ามาดำเนินงานศึกษาจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ(อีเอชไอเอ) โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือปากบารา จังหวัดสตูล เพิ่มเติม จากเดิมที่โครงการได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)ไปแล้ว โดยจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 2 ปี จากนั้นจึงจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 59 และแล้วเสร็จในปี 63 ทั้งนี้ยืนยันว่าการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ล่าช้า ยังเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด โดยที่ผ่านมาได้มีการลงพื้นที่ไปพบผู้นำชุมชนเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการก่อสร้างท่าเรือปากบาราอย่างต่อเนื่อง หาก พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. … (พ.ร.บ.กู้เงิน 2ล้านล้านบาท) ผ่านการพิจารณา จะสามารถเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นทางการได้ทันที “จาการลงพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมาก็พบปะพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจกับผู้นำชุมชนไปบ้างแล้ว ก็มีบางกลุ่มที่ยังไม่เข้าใจและต่อต้านการดำเนินโครงการ แต่เราก็ต้องพยายามชี้แจงต่อ แต่ตอนนี้การดำเนินโครงการยังไม่ชัดเจน ต้องรอเงินที่จะนำมาดำเนินโครงการก่อน จึงจะเริ่มกระบวนการต่างๆได้เพิ่มขึ้น” นายศรศักดิ์ กล่าวว่า ในกรณีที่ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่ผ่าน กรมเจ้าท่าจะตั้งของบประมาณประจำปี 2558 เข้ามาเดินหน้าโครงการแทน และบางส่วนก็ต้องใช้วิธีการกู้เงินเข้ามาดำเนินโครงการด้วย โดยจะต้องเสนอกระทรวงการคลังพิจารณาหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ที่สุดเพื่อนำมาใช้ในโครงการ ส่วนจะเป็นจากแหล่งใดไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานจะเป็นผู้กำหนด ต้องให้กระทรวงการคลังพิจารณาเท่านั้น แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นประตูการค้าฝั่งอันดามันเชื่อมโยงศูนย์กลางการขนส่ง ขนถ่ายสินค้าทางทะเลไปยังเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และทวีปยุโรป รวมทั้งเชื่อมชายฝั่งทะเลอันดามัน อ่าวไทย และชายฝั่งทะเล ภาคตะวันออก โดยท่าเรือปากบาราถือว่ามีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่มีระดับน้ำลึกสำหรับเรือสินค้า และอยู่ใกล้เส้นทางเดินเรือ ที่ผ่านมาจากช่องแคบมะละกา เรือสามารถแวะเข้ามารับสินค้าได้โดยใช้เวลาเพียง 6 ชั่วโมง ขณะที่ท่าเรือหน้าท่ามีความยาว 750 เมตร พร้อมเครนยาวตลอดหน้าท่า และท่าเทียบเรือบริการ 220 เมตร สามารถรองรับสินค้าได้ 825,000 ทีอียู

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : จ้างศึกษาท่าเรือปากบารา

ย้อนรอย 8 ปีวิกฤติการเมืองปัจจัยเสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทย

เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกครั้ง…ที่เกิดวิกฤติการเมือง ย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศต้องหยุดชะงักงันตามไปด้วย และเช่นเดียวกันกับเวลานี้ที่ปัญหาการเมืองกำลังบั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ “เดลินิวส์”จึงขอย้อนอดีตให้เห็นถึงวิกฤติการเมืองในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและทำให้ประชาชนคนไทยต้องได้รับกรรมตามไปด้วย อานิสงส์เศรษฐกิจโลก เริ่มจากปี 2547 ที่กลุ่มประชาชนเริ่มเรียกร้องให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากนายกรัฐมนตรี ในประเด็นความโปร่งใสของการบริหารประเทศ โดยเหตุการณ์ได้เริ่มลุกลามไปจนเกิดเหตุการณ์ใหญ่ในปี 49 ภายใต้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จนต้องยุบสภาเดือน ก.พ. และประกาศให้เลือกตั้งใหม่เดือน เม.ย. แต่ความวุ่นวายไม่จบสิ้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญไม่รับรองผลเลือกตั้ง ทำให้เกิดความอึมครึมในบ้านเมืองจนเกิดรัฐประหารในเดือน ก.ย. พร้อมจัดตั้ง “รัฐบาลทหาร” โดยมีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แม้เกิดการปฏิวัติแต่เศรษฐกิจปี 49 ยังขยายตัวได้ 5% เพราะได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกทำให้การส่งออกเติบโต 9% แต่หากลงลึกเริ่มพบสัญญาณถดถอยลงทุกไตรมาส อีกทั้งการเกิดสุญญากาศทางการเมืองเป็นเวลานาน ทำให้ขาดงบประมาณในการบริหารประเทศ เช่นเดียวกับภาคท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงจากปี 48 “ขิงแก่”ถูกวิจารณ์หนัก ปี 2550 ภายใต้การบริหารของรัฐบาลขิงแก่…สุรยุทธ์ ได้กำเนิดกลุ่มมวลชน แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อต่อต้านการรัฐประหาร และเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ในระหว่างนั้นได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และผ่านประชามติด้วยคะแนน 57.81% จนถึงปลายปีจึงให้มีการเลือกตั้งใหม่ ทำให้รัฐบาลขิงแก่ต้องสิ้นสุดการบริหาร ผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลขิงแก่ถูกโจมตีอย่างหนัก เพราะถูกมองแต่พยายามไล่เช็กบิลทางการเมือง มากกว่ามุ่งบริหารบ้านเมือง จนถูกใช้คำ “รัฐบาลเกียร์ว่าง” ส่งผลให้จีดีพีปี 2550 ลดเหลือโต 4.8% โดยมีการส่งออกเป็นตัวชูโรง แต่การบริโภคและลงทุนเอกชนยังชะลอตัว ชาวบ้านทำมาค้าขายยากขึ้น ปี 2551 พรรคพลังประชาชน ตัวแทนของไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง “สมัคร สุนทรเวช” ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้กลุ่ม พธม. กลับมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลอีกครั้ง มีมูลเหตุจากการพยายามแก้กฎหมายนิรโทษกรรมให้อดีตนายกฯ ทักษิณ และยังส่อบริหารบ้านเมืองไม่โปร่งใส โดยปักหลักชุมนุมยืดเยื้อ ตั้งแต่เดือน พ.ค. และดาวกระจายปิดสถานที่สำคัญ เช่น ทำเนียบรัฐบาล จนต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ต่อมาเดือน ก.ย. นายสมัคร ถูกศาลตัดสินให้พ้นการเป็นนายกฯ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ขึ้นเป็นนายกฯ แทน แต่กลุ่ม พธม.จึงยกระดับการชุมนุม ถึงขั้นปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ดอน เมือง และสลายการชุมนุมในเดือน ธ.ค. หลังศาลสั่งตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน “พันธมิตร”ฉุดจีดีพีเหลือ 2.6% เศรษฐกิจไทยก้าวสู่ภาวะชะลอตัว เหลือการขยายตัวแค่ 2.6% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5-6% หลังจากการส่งออกหดตัว จากพิษแฮมเบอร์เกอร์ไครซิส ประกอบกับกลุ่มผู้ชุมนุมมีการปิดสนามบิน ทำให้ในไตรมาส 4 การส่งออกลดลง 9.4% และนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 700,000 คน สูญเสียรายได้ไป 25,000 ล้านบาท ขณะที่การลงทุนเอกชน และการบริโภคยังมีสัญญาณชะลอ ปี 2552 เกิดเหตุพลิกขั้วทางการเมือง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ลงมติเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดตั้งรัฐบาลผสม ขณะที่อีกฟากได้ตั้งพรรคเพื่อไทย แทนพลังประชาชนที่ถูกยุบไป ระหว่างนั้นเกิดการชุมนุมของ นปช. ตั้งแต่เดือน มี.ค. เกิดเหตุรุนแรงขึ้นหลายจุด ทั้งการชุมนุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่พัทยา เกิดการปะทะและสลายการชุมนุม จนมีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสลายการชุมนุมหลังแกนนำ นปช.มอบตัว เปลี่ยนขั้วก็ยังไม่ฟื้น เป็นอีกปีที่เศรษฐกิจไทยเผชิญภาวะถดถอยรุนแรงติดลบถึง 2.3% แย่กว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ลบ 1% แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์จะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยงบกว่าแสนล้าน แต่ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจนัก เพราะปัญหาเศรษฐกิจโลกยังทำให้ส่งออกชะลอตัว ประกอบความวุ่นวายทางการเมืองภายในทำให้การใช้จ่าย การลงทุนซึมตัว ปี 2553 ศาลฎีกาพิพากษาคดียึดทรัพย์อดีตนายกฯ ทักษิณ 46,000 ล้านบาทช่วงเดือน ก.พ. ถัดไปอีกเดือน กลุ่ม นปช.เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาและจัดเลือกตั้งใหม่ เหตุการณ์ตึงเครียดขึ้นต่อเนื่องมีการยึดสถานที่สำคัญ จนรัฐบาลต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน และเกิดการสลายการชุมนุมมีผู้บาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก รวมถึงนักข่าวชาวต่างชาติ อีกทั้งยังเกิดจลาจลทั่วเมืองหลวง การวางเพลิงศูนย์การค้าและอาคาร ความวุ่นวายยุติหลังแกนนำยอมมอบตัว เศรษฐกิจโลกช่วยดึงจีดีพี แม้จะเกิดความวุ่นวายอย่างรุนแรงแต่เศรษฐกิจปีนี้กลับมาขยายตัวได้ร้อนแรง 7.8% สูงกว่าเป้าหมาย 3.5–4.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้การลงทุนเอกชน การบริโภคภาคครัวเรือนฟื้นตัว โดยเฉพาะการส่งออกที่โตถึง 28.5% แต่ท่ามกลางการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ชาวบ้านก็เผชิญปัญหาค่าครองชีพที่สูงและเกิดเหตุ “สวาปาล์ม” น้ำมันปาล์มพุ่งขวดลิตรละ 80 บาท แถมขาดแคลนอย่างหนัก ปี 2554 รัฐบาลอภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภาเดือน พ.ย. และมีจัดเลือกตั้งใหม่เดือน ก.ค. พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และเป็นผู้จัดรัฐบาลผสมอีกครั้ง โดยมี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ และเป็นปีที่สงบเงียบ ปราศจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบ เพราะหลังการเลือกตั้ง ประเทศไทยต้องเผชิญมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ เริ่มตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค. 54 –ม.ค. 55 หายไปกับน้ำท่วมใหญ่ เศรษฐกิจไทยปี 54 ขยายตัวเพียง 0.1% แย่ว่าที่คาดไว้ 3.5-4.5% แม้ภาพรวมทิศทางในครึ่งปีแรกจะสดใส และปราศจากความวุ่นวาย แต่การเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่กินเวลากว่า 5-6 เดือน ส่งผลกระทบโดยรวมต่อระบบเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง โดยธนาคารโลกประเมินความเสียหายไว้ 1.44 ล้านล้านบาท ปี 2555 เป็นปีแห่งการฟื้นฟูประเทศและเศรษฐกิจไทยหลังเหตุน้ำท่วม แต่ในเดือน มิ.ย. ก็เกิดกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ขึ้นเพื่อขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีความพยายามเคลื่อนไหวต่อเนื่อง และนัดชุมนุมใหญ่เดือน พ.ย. แต่หลังจากเคลื่อนไหวไม่นาน แกนนำก็ประกาศยุติบทบาทการชุมนุม โดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ เร่งฟื้นฟูช่วยคนไทย แต่ในภาคเศรษฐกิจถือว่าเติบโตได้ 6.4% อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5.5-6.5% โดยเป็นปีแห่งการฟื้นฟู และอัดฉีดงบกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนประชานิยม แต่นโยบายส่วนใหญ่ถูกท้วงติงจากหลายฝ่าย ทั้งการจำนำข้าวที่กระทบต่อการส่งออก รถยนต์คันแรกที่เพิ่มภาระหนี้ภาคประชาชน และที่สำคัญยังเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง โดยรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ปี 2556 รัฐบาลพยายามผลักดันการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมถึงผลักดันการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และรัฐบาลชนะผ่านการโหวตในสภา แต่ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดให้ครอบ คลุมถึงแกนนำ หรือเรียก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สุดซอย ขณะเดียว กันศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของวุฒิสภาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ส่งผลเกิดการคัดค้านจากภาคประชาชน การเมือง นักศึกษา และภาคธุรกิจทั่วประเทศจนมีการยกระดับชุมนุมด้วยการยึดสถานที่ราชการ ศาลากลางจังหวัด และเรียกร้องให้ข้าราชการหยุดงานประท้วง เดิมปีนี้คาดหมายเศรษฐกิจเติบโต 4.5-5.5% แต่ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา เติบโต 3.7% มาจากการส่งออกย่ำแย่หนักจากพิษเศรษฐกิจโลก การบริโภคครัวเรือนชะลอหลังหมดโปรโมชั่นกระตุ้น เศรษฐกิจ การลงทุนของภาครัฐทำไม่ได้ตามแผน โดยรัฐบาลมุ่งเน้นผลทางการเมือง ส่งผลให้การเมืองเดินเข้าสู่วิกฤติอีกครั้ง แม้จะกล่าวไม่ได้ทั้งหมดว่า… ความเสียหายที่เกิดขึ้น มาจากปัจจัยการเมืองอย่างเดียว แต่การเมืองนับเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนประเทศ ความเป็นอยู่ของประชาชน และทำให้ไทยเสียโอกาสก้าวหน้า ที่สำคัญตลอด 8 ปีที่เกิดการขัดแย้ง ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่แตกต่างกัน คือ ประชาชนต้องเดือดร้อน เศรษฐกิจชาติย่ำแย่ และเป็นเสมือนเกมแก่งแย่งอำนาจกันของ 2 ฝ่าย โดยมีประชาชนเป็นบันไดก้าวสู่ความสำเร็จอย่างชอบธรรมเท่านั้น!. ทีมเศรษฐกิจ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ย้อนรอย 8 ปีวิกฤติการเมืองปัจจัยเสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทย

Page 1355 of 1552:« First« 1352 1353 1354 1355 1356 1357 1358 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file