shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

ยอดติดตั้งเอ็นจีวีลดลง 60%

รายงานข่าวจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้จำนวนรถยนต์ติดตั้งก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) ในปี 57 ลดลงถึง 60% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้มีรถเอ็นจีวีจากโรงงานจำนวนเหลือค้างจำนวนมาก โดยเฉลี่ยมียอดติดตั้งเอ็นจีวีเพียงวันละ89 คัน จากปีก่อนอยู่ที่วันละ218 คันส่วนใหญ่เป็นรถติดตั้งเอ็นจีวีจากโรงงานรถยนต์ ซึ่งรถยนต์ส่วนหนึ่งหันไปติดตั้งก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี)แทน เพราะเห็นว่ามีราคาถูกกว่าและมีจำนวนปั๊มที่มาก ซึ่งต้องการทุกคนเข้าใจว่า ก๊าซเอ็นจีวีเป็นพลังงานทางเลือก แต่ควรจะปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด เพราะจะทำให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน"ทิศทางธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี)นั้น ปตท.ได้กำหนดแนวทางที่สำคัญ คือ การปรับราคาขายปลีกเอ็นจีวีให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งนโยบายการปรับโครงสร้างราคาพลังงานของรัฐบาล หากมีแผนให้ทยอยปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีได้บ้างจะช่วยลดภาระให้กับปตท.เพื่อที่จะมีเงินไปลงทุนในการขยายสถานีหลักและปั๊มเอ็นจีวี"ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมาปตท.มีผลขาดทุนสะสมจากการเข้าไปอุดหนุนราคาเอ็นจีวีตั้งแต่ปี46 จนถึงปัจจุบัน รวมแล้ว 95,283 ล้านบาท โดยเฉพาะการออกบัตรเครดิตพลังงาน 77,000 ใบเมื่อปี 53 ให้กลุ่มรถโดยสารสาธารณะสามารถใช้สิทธิ์ซื้อเอ็นจีวีในราคาเดิม 8.50บาทต่อก.ก.จากราคาจริง 10.50 บาทต่อก.ก. มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เดือนละ140 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้เสียจากการรูดบัตรเครดิตพลังงานเติมเอ็นจีวีค้างอยู่20 ล้านบาท“ก่อนหน้านี้ทางสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาโครงสร้างต้นทุนราคาเอ็นจีวีพบว่า ในปี 56 ต้นทุนเนื้อก๊าซฯมีราคาอยู่ที่11.19 บาทต่อก.ก. เมื่อรวมกับต้นทุนการลงทุน ค่าบริหารจัดการเอ็นจีวีและภาษีมูลค่าเพิ่ม อีก 4.81 บาท ราคาเอ็นจีวีที่สะท้อนต้นทุนจริงอยู่ที่ 16 บาทต่อก.ก. ในขณะที่ราคาเอ็นจีวีที่ขายอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่10.50 บาทต่อก.ก.”

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ยอดติดตั้งเอ็นจีวีลดลง 60%

Posts related

 














พาณิชย์เร่งขายข้าวให้เอกชนโดยตรง

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า กรมการค้าต่างประเทศได้ออกประกาศคณะทำงานดำเนินการระบายข้าว เรื่องการจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลให้กับภาคเอกชนที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพื่อการส่งออก โดยคณะทำงานฯได้ขอความเห็นชอบต่อประธานคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) แล้ว ซึ่งข้าวสารที่จะจำหน่ายเป็นชนิดข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ข้าวหอมจังหวัด ข้าวปทุมธานี ข้าวขาว 5% ข้าวขาว 15% ข้าวขาว 25% เลิศ ข้าวเหนียวขาว 10% ข้าวท่อนหอมมะลิ ปลายข้าวหอมมะลิ เป็นต้นทั้งนี้ ตามประกาศได้กำหนดให้ผู้ซื้อต้องยื่นหนังสือขอเสนอซื้อข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลของรัฐต่ออธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะทำงานดำเนินการระบายข้าว โดยจะต้องมีหลักฐานสำคัญคือคำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศแนบมาด้วยแหล่งข่าวจากวงการค้าข้าว กล่าวว่า การเปิดให้เอกชนที่มีคำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศสามารถซื้อข้าวสต๊อกรัฐบาลได้ วงการค้าข้าวได้ตั้งข้อสังเกตถึงความโปร่งใสในการอนุมัติราคาขาย เหมือนกับรัฐบาลชุดที่แล้วที่ได้เปิดให้ผู้ส่งออกซื้อข้าวทางตรงกับรัฐ และได้มีการอนุมัติขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในระบบการแข่งขันของภาคเอกชนด้วยกันเอง เพราะไม่มีรายใดทราบราคาที่อนุมัติขาย“เมื่อเปลี่ยนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศคนใหม่ เปลี่ยนรมว.พาณิชย์คนใหม่ แต่วิธีการกลับวนมาใช้แบบเดิม ซึ่งไม่สามารถตอบคำถามเรื่องความโปร่งใสได้ โดยภาครัฐควรจะใช้วิธีการประมูลแข่งขันน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่ามาใช้วิธีการนี้”

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : พาณิชย์เร่งขายข้าวให้เอกชนโดยตรง

รอบคอบก่อนกินเจ – ไขปัญหาผู้บริโภค

หากช่วงเวลานี้หลาย ๆ ท่านมีโอกาสเดินจับจ่ายซื้อของตามท้องตลาดก็จะเห็นธงสีเหลืองติดเป็นริ้วรายรอบไปทั่วอาหารสำเร็จรูปที่วางจำหน่ายทั่วไปต่างมีวัตถุดิบปราศจากเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า “เทศกาลกินเจได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”

เมื่อถึงเทศกาลกินเจ เชื่อว่าผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่หันมาทำบุญรักษาศีล โดยงดบริโภคเนื้อสัตว์ และหันมาบริโภคอาหารจำพวกผักและผลไม้มากขึ้น

ผู้บริโภคส่วนใหญ่…อาจมองว่า ’อาหารเจ“ เป็นอาหารที่ปราศจากส่วนผสมของเนื้อสัตว์โดยแท้ แต่ไม่ควรชะล่าใจ แต่ทว่า…ควรระมัดระวังการปลอมแปลงฉวยโอกาสของผู้ประกอบธุรกิจที่มีการนำเนื้อสัตว์ มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารเจ แล้ววางจำหน่ายอย่างหน้าชื่นตาบาน สคบ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงตรวจสอบและเฝ้าระวังตลอดจนติดตามและสอดส่องพฤติกรรมของพ่อค้าแม่ขาย เพราะหวั่นเกรงผู้บริโภคถูกหลอกเป็นบาปซ้ำเติมมากกว่าได้บุญ

จากข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า การตรวจสอบเบื้องต้นว่า อาหารเจที่วางขายตามท้องตลาดนั้นจะมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ปะปนอยู่หรือไม่นั้น ผู้บริโภคแทบไม่ทราบเลย ซึ่งต้องใช้เวลาการทดสอบผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5 วัน อย่างไรก็ตามผู้บริโภคอาจตรวจสอบเบื้องต้นเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารที่ซื้อกลับไปจะปลอดเนื้อสัตว์ ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยการเลือกซื้อวัตถุดิบหรืออาหารเจจากร้านที่เชื่อถือได้ และที่สำคัญการอ่านฉลากสินค้าถือว่าเป็นส่วนที่สามารถช่วยให้ท่านทราบข้อมูลเบื้องต้นของวัตถุดิบเหล่านั้นว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง สัดส่วนอยู่ในปริมาณเท่าไหร่ และผู้ผลิตคือใคร วันผลิตและวันหมดอายุที่แสดงบนสินค้า เหล่านี้จะสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคได้ นอกจากความกังวลเรื่องการปลอม ปนของเนื้อสัตว์ที่อาจพบในช่วงเทศกาลกินเจ อีกหนึ่งความมุ่งหมายที่ สคบ. อยากให้ผู้บริโภคได้อิ่มบุญและทานอาหารเจอย่างมีความสุขแล้ว นั่นคือเรื่อง

“ความปลอดภัยของผักและผลไม้” เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเลือกผักที่สด ใหม่ และสะอาด สังเกตที่ไม่มีรอยหรือคราบสีขาวจากสารฆ่าแมลง ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดทุกครั้งก่อนนำไปปรุงอาหาร เพื่อลดอันตรายจากสารเคมีตกค้าง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

ทั้งนี้ สคบ. ขอย้ำเตือนให้ผู้ประกอบการร้านจำหน่ายอาหารเจพึงมีจริยธรรมในการขายสินค้าที่มีคุณภาพไม่เอาเปรียบผู้บริโภค และขอให้ผู้บริโภคระมัดระวังเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพจากร้านที่เชื่อถือได้ เพื่อให้การทำบุญและถือศีลให้ทานนั้นได้บุญอย่างแท้จริง.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : รอบคอบก่อนกินเจ – ไขปัญหาผู้บริโภค

Page 142 of 1552:« First« 139 140 141 142 143 144 145 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file