นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังงานสัมมนานโยบายเศรษฐกิจในยุคการปรองดองและปฎิรูปกับการลงทุนว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้า คาดว่า จะมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ชุดใหม่ ที่มีตนเป็นประธาน เพื่อเรียกประชุม กบง. หารือถึงการปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่เหมาะสม บนหลักการที่ทำให้เกิดความสมดุลและเป็นไปตามกลไกตลาด โดยเฉพาะราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคขนส่งปัจจุบันที่ขายต่ำกว่าภาคครัวเรือน 1.25 บาท รวมทั้งอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่ควรปรับให้อยู่ในระดับเดียวกัน เช่น ภาษีน้ำมันดีเซล ปัจจุบันเก็บที่ 0.75 บาท และราคาน้ำมันดีเซล ถูกกำหนดโดยนโยบายทางการเมืองไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาทมาตั้งแต่ปี 54 ขณะที่กลุ่มเบนซิน มีการจัดเก็บภาษีสรรสามิตรเฉลี่ยที่ 4-5 บาท “ปัจจุบันภาษีดีเซลต่ำกว่าเบนซินมาก เพราะดีเซลถูกนโยบายทางการเมืองกำหนดราคาไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบันอยู่ที่ ลิตรละ 29.99 บาท แต่คนมีรถหรู ทั้งรถบีเอ็ม รถเบ็นซ์ ได้รับประโยชน์จากการใช้ดีเซลราคาถูกไปด้วย ทำให้ดีเซลไม่ใช่น้ำมันของคนจนเท่านั้น ซึ่งนอกจากมีการปรับให้ราคาพลังงานทั้งระบบมีความสมดุลมากขึ้นแล้ว ก็จะมีมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยควบคู่ไปด้วย ที่สำคัญรัฐบาลประกาศชัดเจนว่า จะไม่ใช้นโยบายประชานิยม ซึ่งขณะนี้ทีมเศรษฐกิจกำลังหารือว่าจะกำหนดในรัฐธรรมนูญให้สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณา หากรัฐบาลในอนาคตกำหนดนโยบายประชานิยมแล้วสร้างหนี้สาธารณะระยะยาว เป็นภาระต่อคนรุ่นหลัง จะนับว่าเป็นเรื่องผิดกฏหมาย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเศรษฐกิจระยะยาว” ส่วนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ต้องเข้าใจว่า รัฐบาลชุดนี้มีส่วนผสมมาจากบุคคลในวงการทหารเข้ามาบริหารเป็นหลัก ดังนั้นการเข้ามาดูแลประเทศจะเน้นเรื่องความมั่นคงก่อนความมั่งคั่ง จึงยอมรับว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้ คาดว่า อยู่ที่ 1.5-2% ต่ำกว่าคาดการณ์เดิม เนื่องจากมีผลกรระทบจากการส่งออก การท่องเที่ยวที่ อาจมีนักท่องเที่ยวเหลือไม่ถึง 25 ล้านคน เพราะผลพวงจากการประกาศกฎอัยการศึกที่แม้รัฐบาลจะยกเลิกแล้วในบางพื้นที่ แต่ยังมีบางพื้นที่บังคับใช้อยู่ รวมทั้งรัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่น และการปราบปรามธุรกิจเถื่อน เช่น ตู้เกมส์ บ่อน ซึ่งมีเงินสะพัดสูงมากจึงมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจด้วย
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ดีเซลจ่อทะลุ 30 บาท หลังคลอด กบง.
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
นางจินตนา ชัยยวรรณาการ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือคณะทำงานประสานงานข้าว ร่วมกับ 5 สมาคมชาวนาว่า ที่ประชุมได้รับฟังข้อเสนอที่กลุ่มเกษตรกรต้องการให้ภาครัฐผลักดันราคาข้าวเปลือกให้ชาวนาขายได้ตามที่ต้องการ เช่น ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 10,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 16,000 บาท ข้าวหอมปทุมตันละ 11,000 บาท เป็นต้น ซึ่งกรมได้แจ้งไปว่าจะไม่นำราคามาเป็นตัวตั้ง แต่จะผลักดันชาวนาลดต้นทุนการปลูกข้าวเพื่อให้ชาวนาขายข้าวได้กำไร 4,000 บาทต่อตัน โดยคำนวณจากต้นทุนการปลูกข้าวที่ 6,000 บาทต่อไร่ “ไม่อยากให้ชาวนานำราคาว่าจะต้องขายได้ 10,000 บาทต่อตัน มาเป็นตัวตั้ง แต่หากรัฐผลักดันให้ชาวนาลดต้นทุนปลูกข้าวได้ ถึงขายได้ 8,500 บาท ก็ยังมีกำไรเหลืออยู่ที่ประมาณ 4,000 บาทต่อตัน ชาวนาก็น่าจะอยู่ได้ โดยการประชุมรอบหน้าจะให้ชาวนานำมาเสนอถึงวิธีการในการลดต้นทุนอีกครั้ง” 
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ถึงกรอบนโยบายการเงินในปี 58 ว่า ธปท.ได้เสนอกรอบนโยบายการเงิน โดยเสนอกรอบอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ให้ รมว.คลังพิจารณา หากเห็นชอบก็จะเสนอให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาต่อไป โดยการเปลี่ยนจากการใช้นโยบายเงินเฟ้อพื้นฐาน มาเป็นกรอบเงินเฟ้อทั่วไปให้สะท้อนกับค่าครองชีพประชาชน ที่รวมปัจจัยต้นทุนพลังงานและราคาสินค้า และเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่ใช้นโยบายการเงินโดยยึดตามกรอบอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นหลัก “ธปท.ได้เสนอเป็นกรอบนโยบายอัตราเงินเฟ้อให้ รมว.คลังพิจารณาไปแล้ว จากนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ก่อนเสนอให้ ครม.พิจารณา ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จก่อนสิ้นปีนี้” นอกจากนี้ การหารือกับ รมว.คลัง ยังได้สอบถามถึงการดูแลนโยบายการเงินอื่นๆ เช่น แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ภาวะอัตราแลกเปลี่ยน การกำกับดูแลสถาบันการเงิน และการติดตามปัญหาในระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมถึงสิ่งที่ ธปท.กำลังดำเนินการ เช่น กฎหมายต่างๆ ช่องว่างที่ต้องปรับปรุง แผนการเคลื่อนย้ายเงินทุน ระยะที่ 2 การส่งเสริระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (ดิจิตัลแบงก์กิ้ง) ซึ่ง รมว.คลัง เห็นชอบในแนวทางดังกล่าวแผนการพัฒนาระบบสถาบันการเงินในประเทศ และ การเงินในระบบรากหญ้า 
