นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ บริษัทได้ชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ไปพอสมควร เนื่องจากติดปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง และหันไปพัฒนาอาคารโรงงานแทน แต่ขณะนี้สถานการณ์ความวุ่นวายได้คลี่คลายแล้ว และเศรษฐกิจรวมถึงกำลังซื้อเริ่มฟื้นตัว จึงมาเปิดตัวคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ และกำลังเจรจาซื้อกิจการคอนโดฯ อีก 1 โครงการ อยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง เพราะเจ้าของเดิมต้องการกระแสเงินสด "ช่วงที่น้ำท่วม และการเมืองร้อนแรง เราก็ทยอยซื้อที่ดินสะสม เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต และได้ซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ไว้ 40 ไร่ พัฒนาเป็นโรงงานให้เช่า 10 หลัง มูลค่าลงทุนหลังละ 30-40 ล้านบาท ให้เช่าในราคาหลังละ 300,000-400,000 บาทต่อเดือน ล่าสุดได้ซื้อที่ดินเพิ่มอีก 20 ไร่ เพื่อพัฒนาโรงงานต่อเนื่อง 10-20 โรงงาน หวังสร้างรายได้ระยะยาว3-5 ปี จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 5% ให้เพิ่มเป็น 15-25%” นายชาติชาย พานิชชีวะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชีวาทัย กล่าวว่า ขณะนี้ได้เปิดตัวคอนโดฯ ใหม่ โดยใช้แบรนด์ ฮอลล์มาร์ค ซึ่งเป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น 2 อาคาร รวม 427 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 60,000 บาท เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าบ้านหลังแรก โดยเฉพาะในตลาดคอนโดฯ ราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเห็นว่า เป็นตลาดที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริง ไม่ได้ซื้อเก็งกำไร และลูกค้าไม่ค่อยมีปัญหาด้านการเงิน คาดว่าจะมียอดจองซื้อไม่ต่ำกว่า 50-60% พร้อมกันนี้ กำลังเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีหน้าต่อไป ซึ่งคาดว่าไตรมาส 2 ปีหน้าจะยื่นแบบกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีบริษัทอาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะเดียวกัน เตรียมที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ปีหน้าอีก 2-3 โครงการ รวมมูลค่า 2,500-3,000 ล้านบาท ทั้งคอนโดฯ และบ้านเดี่ยว หลังจากมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยิ่งคึกคักมากขึ้น จาการที่รัฐได้พัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ด้านการคมนาคม โดยเฉพาะรถไฟฟ้า คาดว่าจะทำให้บริษัทโตได้ 15%
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : “ชีวาทัย”ผุดโรงงาน
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (13 ต.ค) ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดวัน เนื่องจากไร้ปัจจัยหนุนใหม่สำคัญเข้าผลักดันดัชนีประกอบกับความกังวลด้านเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวได้ต่ำกว่าที่คาด โดยเฉพาะในยุโรป จีนและญี่ปุ่น กดดันดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ระหว่างวัน ดัชนีลดลงต่ำสุด 1,538.35 จุด และทะยานขึ้นสูงสุด 1,548.39 จุด จนมาปิดตลาดที่ 1,542.35 จุด ลดลง 10.37 จุด หรือ 0.67 % ด้วยมูลค่าซื้อขาย 34,828.74 ล้านบาท สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก 1.ปตท. ปิดที่ 352.00 บาท ลดลง 12.00 บาท 2.ทรู ปิดที่ 11.40 บาท ปิดไม่เปลี่ยนแปลง 3.ธ.กสิกรไทย ปิดที่ 224.00 บาท ลดลง 4.00 บาท 4.ซีพีเอฟ ปิดที่ 32.00 บาท ปิดไม่เปลี่ยนแปลง 5.ธ.ไทยพาณิชย์ ปิดที่ 176.50 บาท ลดลง 1.00 บาท 
นางภรณี ทองเย็น อุปนายก สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์จาก24 บริษัทหลักทรัพย์เกี่ยวกับแนวโน้มด้านการลงทุนคาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้1,484 จุด เป็น 1,574 จุด เนื่องจากปัจจัยด้านแนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐและการขยายตัวด้านผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนรวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง สำหรับปัจจัยลบที่อาจกดดันดัชนีส่วนใหญ่มาจากทิศทางการปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)และการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่ตัวออกยังอยู่ในระดับต่ำรวมทั้งเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำกว่าที่คาด ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย(จีดีพี)ด้านนักวิเคราะห์ปรับลดคาดการณ์ลงจากเดิม2.1% เหลือเพียง 1.6% ในขณะที่คาดว่าอัตราการเติบโตกำไรต่อหุ้นลดลงจากคาดการณ์เดิม10.3% เหลือเพียง 8.5 % เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศยังมีการฟื้นตัวต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม “หุ้นไทยขณะนี้อยู่ในช่วงปรับฐานซึ่งส่วนตัวคาดว่าจะอยู่ในกรอบที่1,480-1,541 จุด ซึ่งนักลงทุนคงรอจับตาผลประกอบการไตรมาส 3 ช่วงกลางเดือนต.ค. นี้รวมถึงต้องดูว่าจะมีการปรับลดกำไรตลาดลงหรือไม่ เพื่อช่วยพยุงค่าอัตราราคาปิดกำไรต่อหุ้น(พีอี)ปรับตัวลดลง และทำให้หุ้นไม่มีราคาแพงมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องถึงปลายปีนี้ประกอบกับความเสี่ยงการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดปัจจุบันได้คลายความกังวลลงไปพอสมควรหลังจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในยุโรป,จีน และญี่ปุ่นยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาดส่งผลให้นักวิเคราะห์ของเฟดให้น้ำหนักกับการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 3ปีหน้าลดน้อยลง” 
