อินเทอร์เน็ตและอีคอมเมิร์ซสมัยนี้ทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนกลายเป็นเรื่องง่าย ๆ เพียงแค่ปลายนิ้วคลิกเลยนะครับ นอกจากรองเท้าเราจะไม่สึกจากการต้องออกตระเวนชีพจรลงเท้าซื้อของแล้ว ยังลดช่องว่างระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายให้แคบลง ผู้ซื้อผู้ขายสามารถติดต่อกันได้โดยตรงไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ไม่ต้องเสียเงินค่านายหน้า พลอยทำให้ราคาสินค้าที่ผู้ซื้ออย่างเรา ๆ ซื้อกับราคาต้นทุนที่ผู้ขายขายมีความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น วันนี้ผมจะชวนคุณผู้อ่านคอลัมน์วันพุธของผมมารู้จักแอพพลิเคชั่นซื้อขายอีกตัวหนึ่งที่กำลังมาแรงที่ชื่อว่า ไลน์ช้อป (LINE Shop) ครับ ถ้าจะบอกว่า ไลน์ แอพพลิเคชั่นสัญชาติญี่ปุ่น/เกาหลีนี้เป็นแอพพลิเคชั่นหนึ่งที่คนไทยเรานิยมใช้กันมากที่สุดก็คงไม่ผิดนักนะครับ ด้วยความที่ไลน์ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย รวมทั้งอัตราการเติบโตของธุรกิจการค้าขายออนไลน์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สองเหตุผลนี้ประกอบกันล่าสุดทางบริษัทแม่ของไลน์จึงตัดสินใจแตกแขนงไลน์ออกมาเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซเต็มตัว หรือก็คือ ไลน์ช้อป นั่นเองครับ โดยปฐมฤกษ์ที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรก คุณผู้อ่านที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของไลน์อาจจะพอจำได้นะครับว่าก่อนหน้านี้ไลน์ได้เคยสร้างระบบการซื้อขายสินค้าของตัวเองขึ้นมาแล้วในชื่อว่า LINE Flash Sales ที่เน้นขายสินค้าลิขสิทธ์ของไลน์โดยเฉพาะ เช่น เคสสมาร์ทโฟน เสื้อไลน์ กระเป๋า ของที่ระลึกลายการ์ตูนต่าง ๆ ของไลน์ โดยมีบริษัท aCommerce เป็นผู้ดูแลระบบการขายให้กับทางไลน์ แต่ในส่วนของไลน์ช้อปที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้ไม่เหมือนกันนะครับ เพราะไลน์ช้อปเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ไลน์ทุกคนสามารถที่จะมีร้านค้าเป็นของตัวเองได้ แค่ดาวน์โหลดแอพฟรีชื่อ LINE SHOP มาก็สามารถเริ่มการซื้อขายได้แล้ว อ่านมาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านหลายคนอาจจะยังงงนะครับว่า ไลน์ช้อป นี่มันเป็นยังไงกันแน่ ว่าไปแล้วร้านค้าบนไลน์ช้อปก็มีไอเดียเดียวกับร้านขายของออนไลน์บนเพจเฟซบุ๊ก (Facebook Page) หรืออินสตาแกรม (Instagram) ที่เดี๋ยวนี้มีอยู่มากมายนั่นล่ะครับ ก็คือ เป็นร้านค้าบนสื่อสังคมออนไลน์ที่เจ้าของร้านไม่ต้องเสียเงินไปเช่าพื้นที่ร้านค้า ไม่ต้องเสียเงินสมัครสมาชิก แค่สมัครสมาชิกฟรี ๆ ก็สามารถเอาแอคเคาท์นั้นมาเปิดร้านขายของเป็นของตัวเองบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้แล้ว เทียบกับร้านค้าบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมแล้ว ไลน์ช้อปมีการเพิ่มคุณสมบัติที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้ออย่างเรา ๆ หลายอย่างเลยครับ ตัวอย่างเช่น การค้นหาสินค้าที่ทำได้ง่ายขึ้น เพราะไลน์จัดการแบ่งหมวดหมู่สินค้าไว้ให้เรียบร้อย การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ขายก็ทำได้ หรือ หากอยากจะพูดคุยสอบถามหรือต่อราคาสินค้ากับผู้ขาย ก็ไม่ต้องไปเปิดแอพส่งอีเมลหรือเปิดเฟซบุ๊กแยกต่างหาก แต่สามารถทำได้เลยผ่านการแชทโดยไลน์ ซึ่งการแชทเพื่อซื้อขายนี้ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเพื่อนก็สามารถพูดคุยกันได้ด้วยครับ ในส่วนของผู้ขายสินค้า การขายของบนไลน์ช้อป นอกจากจะลงขายได้ฟรีไม่โดนหักค่าหัวคิวหรือหักเปอร์เซ็นต์แล้ว ยังสามารถส่งข้อมูลโปรโมชั่นหรือข่าวสารต่าง ๆ ของร้านค้าผ่านทางไลน์ช้อปไทม์ไลน์ได้ มีระบบช่วยจัดการใบสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อยดูแลง่าย เรียกว่างานนี้ไลน์เอาใจทั้งผู้ซื้อและผู้ขายกันแบบเต็มที่เลยครับ มีไลน์แค่ตัวเดียวทำได้เกือบจะครบวงจรเป็นทั้งแอพสนทนาเหมือน วอทแอพ (Whatsapp) เป็นแอพคุยโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตเหมือน สไกป์ (Skype) เป็นแอพเกมเหมือน แองกี้เบิร์ด (Angry Birds) เป็นแอพโซเชียลมีเดียเหมือนเฟซบุ๊ก และ ตอนนี้ก็กำลังจะเป็นเว็บอีคอมเมิร์ซเหมือนอย่างอีเบย์หรืออเมซอนด้วย ดู ๆ ไปแล้วยุคนี้สมัยนี้ก็เหมือนจะมีทุกอย่างพร้อมสรรพหมดแล้ว ไม่ค่อยเหลืออะไรจะให้คิดให้สร้างสรรค์เพิ่มแล้ว แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ช่องทางและโอกาสนั้นยังคงมีอยู่เสมอครับสำหรับผู้ที่ตั้งใจมองหาและไขว่คว้า อย่างที่ สตีฟ จอบส์ เคยกล่าวไว้ว่า “ความคิดสร้างสรรค์ ที่จริงแล้วก็แค่การปะติดปะต่อสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ( Creativity is just connecting things )” แม้เราจะไม่ได้คิดค้นสมการใหม่ ไม่ได้เป็นคนหล่อชิ้นส่วนของนวัตกรรมต่าง ๆ ขึ้น แต่ชิ้นส่วนของนวัตกรรมที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจายบนโลกใบนี้ยังคงรอให้คนที่มีความตั้งใจช่วยเข้ามารวบรวมและประกอบมันเข้าด้วยกันให้ออกมาเป็นแผ่นนวัตกรรมที่สมบูรณ์อยู่ อย่างที่ไลน์เองก็กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน นี่ล่ะครับคือศตวรรษที่ 21 โลกที่นวัตกรรมไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่การคิดค้นสูตรคณิตศาสตร์หรือการทดลองในห้องแล็บอีกต่อไป . ผศ.ดร.ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช มหาวิทยาลัยรังสิต chutisant.k@rsu.ac.th
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ซื้อคล่อง ขายง่าย กับไลน์ช้อป – รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
ในงานสัมมนาเปิดโอกาสค้าส่งออนไลน์ เอสเอ็มอี รวยได้ในคลิกเดียว จัดโดยธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรของเว็บไซต์อาลีบาบา (Alibaba.com) เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของโลกที่เปิดตัวในตลาดหุ้นสหรัฐ อเมริกาด้วยมูลค่าสูงสุด นายทิโมธี เหลียง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจของอาลีบาบาดอทคอม กล่าวถึงการเริ่มธุรกิจกับอาลีบาบาดอทคอม ว่า อาลีบาบาก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1990 ที่เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยแจ๊ค หม่า เป็นผู้ก่อตั้ง มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือเอสเอ็มอี สามารถจำหน่ายสินค้ากับผู้ซื้อโดยตรงบนตลาดออนไลน์ ปัจจุบันเว็บไซต์อาลีบาบา ให้บริการใน 240 ประเทศทั่วโลกแบบครบวงจร นายวัลลภ ว่องจิตต์วุฒิไกร รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย เล่าให้ฟังว่า มูลค่าตลาดรวมของการค้าขายอีคอมเมิร์ซเติบโตสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากเปิดตัวของเทคโนโลยี 3G ทำให้เกิดประโยชน์ต่อการค้าขายออนไลน์มากอย่างเห็นได้ชัด หรือที่เรียกว่า เอ็มคอมเมิร์ซ เพราะเป็นช่องทางการค้าขายที่มีต้นทุนถูกที่สุด ธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมมือกับเว็บไซต์อาลีบาบา เพื่อสนับสนุนลูกค้าเอสเอ็มอี ของธนาคารกว่า 5,000 ราย ให้ขยายตลาดไปยังต่างประเทศผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว อาลีบาบาจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทย โดยจะเปิดโซนที่เรียกว่า ไทยแลนด์ โซน เพื่อให้ครอบคลุมสินค้าจากไทยทั้งการเกษตร อัญมณี เครื่องประดับ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์จากไม้ อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง การเปิดไทยแลนด์ โซน บนเว็บไซต์อาลีบาบา จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถ ขายสินค้าได้ทั่วโลก ภายใต้ต้นทุนต่ำ โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง ตัวแทนจากเว็บไซต์อาลีบาบา ได้แนะนำ ให้ผู้ประกอบการของไทยสมัครเพื่อขายของบนเว็บไซต์ ซึ่งมีทั้งฟรีและเสียเงิน ไม่ว่าจะเลือกระบบไหน จะต้องยืนยันตัวตนผ่านระบบสมาชิก ข้อแตกต่างของการเป็นสมาชิกฟรีและเสียเงินก็คือ จำนวนรูปและข้อความที่จะโพสต์ลง และโอกาสในการมองเห็นจากผู้ซื้อ หากสมัครสมาชิกแบบเวอร์ริไฟด์ แพ็กเกจ จะได้พื้นที่แสดงสินค้าเพิ่มมากขึ้น และโกลด์ แพ็กเกจ จะได้สิทธิขึ้นเป็นร้านค้าแรกในหมวดสินค้าบนเว็บไซต์ พร้อมสิทธิในการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งสองแพ็กเกจราคาประมาณ 99 และ 999 ดอลลาร์สหรัฐ เคล็ดลับสำคัญของการค้าขายออนไลน์ ก็คือ หากมีหน้าร้านออนไลน์ แต่ไม่อัพเดท ไม่โปรโมตเป็นประจำก็จะไม่มีใครเข้ามาดู ผู้ขายต้องขยันเปิดอ่านและตอบโต้อีเมลจากลูกค้าทันที เพราะหากช้าแค่นาทีเดียวก็เสียโอกาสให้คู่แข่งได้ ต้องใส่ข้อมูลผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการให้เข้าใจง่าย ๆ ใส่รายละเอียดและรูปภาพมาก ๆ โดยเฉพาะคำค้นหา หรือคีย์เวิร์ด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ต้องจัดหมวดหมู่สินค้าและอยู่ให้ถูกกลุ่มสินค้า สิ่งสำคัญที่สุดคือ มีรูปภาพสินค้าให้มากที่สุด ให้เห็นทุกซอกทุกมุม การตอบโต้ทางอีเมล ต้องแสดงความเป็นมืออาชีพในการเขียนจดหมาย ต้องทำให้เกิดความประทับใจตั้งแต่แรกพบ โดยเฉพาะคำขึ้นต้นและลงท้าย จากข้อมูลของอาลีบาบา พบว่า ผู้ที่ตอบข้อความคนแรกจะมีโอกาสได้ลูกค้าถึง 40%. 
นี่คือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับโรงพยาบาล ที่พัฒนาขึ้นจากความต้องการใช้งานจริง และสามารถใช้งานได้ดีจริง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งแต่เทคโนโลยีไฮเทคหรือจ้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์จากภายนอกให้สิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมาก เพราะที่นี่ “ฝ่ายเวชสารสนเทศ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์” เขาพัฒนาเอง และทำมาแล้วกว่า 20 ปี ปัจจุบันมีโรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ มาดูระบบการทำงานแล้วกว่า 50 ราย “รองศาสตราจารย์ นพ.ธีรสาส์น คีรีรัฐนิคม” รองคณบดีฝ่ายเวชสารสนเทศ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ บอกว่าโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เปิดให้บริการเมื่อปี พ.ศ. 2525 เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นอกจากจะเป็นผู้นำในการให้บริการทางการแพทย์ให้กับประชาชนในจังหวัดภาคใต้แล้ว ยังเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ เป็นโรงเรียนและแหล่งเรียนรู้ทางการแพทย์ และเป็นสถานที่ทำวิจัยของบุคลากรสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพต่าง ๆ อีกด้วย ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลขนาด 853 เตียง มีแพทย์กว่า 700 คน รองรับผู้มาใช้บริการผู้ป่วยนอกวันละกว่า 3,500 คน โรงพยาบาลเริ่มมีการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ HIS (Hospital Information System) ขึ้น ตั้งแต่ปี 2535 โดยเริ่มจากการใช้งานในแผนกผู้ป่วยนอก ก่อนที่จะขยายไปจนครอบคลุมทุกส่วนทั้งแผนกผู้ป่วยใน การใช้งานของแพทย์ผู้ตรวจรักษา พยาบาล แผนกยา การเงิน แม้กระทั่งการสั่งอาหาร สั่งผ้าและขอเปลคนไข้ที่รันตามคิวแบบอัตโนมัติ เรียกว่าข้อมูลเกือบทั้งหมด กว่า 99% อยู่บนระบบดิจิตอล ไม่ต้องใช้กระดาษ ส่วนที่ยังจำเป็นต้องใช้กระดาษก็คือ การสรุปและการเซ็นอนุญาตผ่าตัดของคนไข้ ที่กฎหมายยังไม่รองรับลายเซ็นดิจิตอล จุดเด่นของระบบ HIS ก็คือ การพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมาใช้เองทั้งหมด ทำให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานจริง แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเน้นการใช้งานง่าย และคล่องตัว อย่างเช่น ระบบผู้ป่วยนอก แค่ผู้ป่วยเดินไปแจ้งกับพยาบาลก็สามารถลงทะเบียนในโปรแกรมได้ทันที ที่ห้องตรวจแพทย์จะมีคอมพิวเตอร์แบบ 2 หน้าจอให้ด้านหนึ่งมีโปรแกรม HIS สำหรับดูข้อมูลคนไข้ อีกด้านสำหรับดูข้อมูลเอ็มอาร์ไอ หรือเอกซเรย์ต่าง ๆ แพทย์แค่ล็อกอินโปรแกรม HIS ตรวจรักษา ลงคำวินิจฉัย การสั่งยา หากคนไข้มีประวัติแพ้ยา จะมีป๊อปอัพเตือนขึ้นมาทันที แถมมีรายละเอียดบอกได้ถึงสิทธิของคนไข้ เรียกดูยาเก่า เมื่อแพทย์สรุปข้อมูลการรักษา แจ้งการนัด แล้วยังสามารถบอกค่าใช้จ่ายหรือค่ายาที่เกิดขึ้นได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีระบบยาออนไลน์ ที่พัฒนาจากระบบการใช้งานจริง จากการสั่งยาตรงมาจากแพทย์ จะมีการพิมพ์ฉลากยาอัตโนมัติ สอดคล้องกับการจัดสต๊อกยา ซึ่งในฉลากยังบอกได้ถึงขนาดว่ายาชนิดนั้น ๆ วางอยู่ที่ตู้ใด ผลของการนำไอทีมาใช้ในแผนกยานี้ ท่านรองคณบดีบอกว่า ทำให้ผู้ป่วยนอกที่มีถึงวันละ 3,500 คน ได้รับบริการที่เร็วขึ้น โดยเฉลี่ยหลังจากแพทย์สั่งยาแล้วจะได้รับยาภายใน 15 นาที และที่สำคัญก็คือความผิดพลาดในการสั่งยาลดลง เนื่องจากไม่ต้องแกะลายมือแพทย์ ส่วนแผนกผู้ป่วยใน มีการนำไอทีไปใช้แพทย์สามารถสั่งและติดตามผลการรักษาด้วยคอมพิวเตอร์บนรถเข็นที่ติดตั้งระบบไวไฟ พยาบาลรับคำสั่งและติดตามผลการรักษาด้วยคอมพิวเตอร์ และจ่ายยาให้ผู้ป่วยด้วยคอมพิวเตอร์บนรถเข็นเช่นกัน ระบบไอทีแบบครบวงจรเหล่านี้ หลายคนคงคิดว่าต้องใช้เงินมหาศาลในการบริหารจัดการแต่ละปี แต่ผู้บริหารที่นี่บอกว่า เสียแค่ปีละประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นค่าเช่าเครื่องเดสก์ทอป อุปกรณ์ และเงินเดือนบุคลากร ที่ปัจจุบันมี 27 คน เป็นโปรแกรมเมอร์ 15 คน ล่าสุด ทางโรงพยาบาลมีแนวคิดที่จะนำ BYOD หรือการให้บุคลากรนำอุปกรณ์ไอทีส่วนตัวมาใช้ในการทำงาน เพื่อสนับสนุนการทำงานแบบทุกที่ทุกเวลาของแพทย์ “นายโกเมน เรืองฤทธิ์” นักวิชาการคอมพิวเตอร์ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ บอกว่า ด้วยนโยบายดังกล่าว เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ระบบไอทีได้ติดตั้งผลิตภัณฑ์นูทานิกซ์ หรือ Nutanix Virtual Computing Platform ซึ่งสามารถทำงานกับระบบเวอร์ชวลไลซ์เซชั่น ที่เชื่อมต่อแอพพลิเคชั่น HIS ที่พัฒนาบนวินโดว์ส เอ็กซ์พี ได้เป็นอย่างดี โซลูชั่นนี้ช่วยลดความซับซ้อนการเข้าถึงระบบและแอพพลิเคชั่น ทำให้ยูสเซอร์สามารถใช้งานเองได้ จากการอ่านวิธีการใช้ผ่านเว็บบอร์ดของโรงพยาบาล ปัจจุบันมีแพทย์ประมาณ 100-120 คนต่อวันที่เข้าใช้งานผ่านโซลูชั่นของนูทานิกซ์ เพื่อเข้าไปดูเวชระเบียนคนไข้ ผ่านอุปกรณ์ส่วนตัวจากทุกที่ทุกเวลา โดยแพทย์ที่ได้รับอนุญาตใช้งานในปัจจุบันจะสามารถดูข้อมูลได้อย่างเดียว ยังไม่อนุญาตให้ส่งคำสั่งหรือตอบกลับได้ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลคนไข้ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญ นอกจากนี้ฝ่ายไอทีกำลังทดลองการทำงานแบบซีโร่ ไคเอนท์ ( Zero Client ) เพื่อการขยายการทำงานแบบเวอร์ชวลไลซ์เซชั่น ไปยังทีมงานอื่น ๆ ในโรงพยาบาลต่อไป ด้าน นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการ นูทานิกซ์ (ประเทศไทย) บอกว่า นูทานิกซ์ เป็นผู้ให้บริการเว็บ-สเกล ที่ผสานรวมโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ทั้งเซิร์ฟเวอร์ระบบประมวลผลและระบบสตอเรจที่จัดเก็บข้อมูลไว้ด้วยกัน โดยเน้นการบริหารจัดการที่ง่าย ประหยัดพื้นที่ และประหยัดพลังงานได้มากกว่าการใช้อุปกรณ์แบบเดิม ๆ 40-60 % นอกจากนี้ยังขยายการใช้งานได้ตามต้องการ จึงเหมาะสำหรับการนำมารองรับการใช้งานด้านเวอร์ชวลไลซ์เซชั่น ซึ่งแต่ละองค์กรเริ่มสนใจที่จะนำ BYOD มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น อย่างไรก็ดี ฝ่ายไอทีกำลังสำคัญของระบบนี้ ยืนยันความสมบูรณ์ของระบบ เป็นผลมาจากนโยบายของผู้บริหาร การพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยตนเอง และที่สำคัญคือการให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการพัฒนา ไม่ใช่ซอฟต์แวร์แบบที่จะซื้อที่ไหนก็ได้ อยากเรียก…การพัฒนาระบบไอทีแบบนี้ว่าเป็น “ไอทีแบบพึ่งตัวเอง” ซึ่งยั่งยืนกว่าการซื้ออย่างเดียว!!!. นาตยา คชินทร nattayap.k@gmail.com 
