นายเบญจรงค์  สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทยหรือทีเอ็มบี  เปิดเผยถึงผลสำรวจธุรกิจเอสเอ็มอี 500 กิจการ เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดย่อมในช่วงไตรมาส 1/57 โดยวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50 ล้านบาทพบว่า  ความเชื่อมั่นธุรกิจเอสเอ็มอีในช่วง 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 54.2  จากเดิมในไตรมาส 4/56 อยู่ที่ระดับ 58.4  เนื่องจากมีความกังวลปัญหาด้านการเมืองมากสุด  ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทำการสำรวจมาติดต่อกันในช่วง 7 ไตรมาส  จากเดิมที่มีความกังวลเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก  เพราะผู้ประกอบการมองว่ารายได้กิจการอาจจะไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันมากนักทำให้ตัดสินใจชะลอการลงทุนและการจ้างงาน  ส่วนดัชนีฯ ภาวะเศรษฐกิจในปัจุจบันพบว่าอยู่ที่ระดับ 41.1 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นไตรมาส 3 เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว หลังจากที่ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท  “ การเมืองเป็นตัวบั่นทอนความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกรุงเทพฯ ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 38 ซึ่งต่ำกว่าภูมิภาคอื่นของประเทส ส่วนภาคที่มีดัชนีความเชื่อมั่นดีสุดคือภาคตะวันออกที่ระดับ 48.5  เนื่องจากได้รับอานิสงส์จาการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ฟื้นตัวทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังขยายตัวดี” ทั้งนี้หากพิจารณารายประเภทธุรกิจพบว่า กลุ่มธุรกิจบริการดัชนีความเชื่อมั่นมากสุดอยู่ที่ระดับ 45.4 รองลงมาคือกลุ่มค้าปลีก 40.7   แต่กลุ่มที่ธุรกิจการผลิตที่มีดัชนีต่ำสุดคือการผลิตอยู่ที่ระดับ 38.4 เนื่องจากผู้ผลิตต้องรับความเสี่ยงจากหลายปัจจัยพร้อมกัน ทั้งเรื่องยอดขาย ต้นทุนการผลิต แรงงาน วัตถุดิบ ภาวะการแข่งขัน  และการสต็อกสินค้าทำให้อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงมากกว่ากลุ่มธุรกิจอื่น นอกจากนี้เห็นว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรบริหารสภาพคล่องด้วยความระมัดระวัง และติดต่อคู่ค้าและธนาคารอย่างใกล้ขิด เพื่อจะได้รู้ข้อมูลต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจะได้แก้ปัญหาได้ทันเหตุการณ์  ขณะเดียวกันต้องการให้เอสเอ็มอีหาช่องทางขยายตลาดใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ซึ่งประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม เพราะตัวเลขการค้าในกลุ่มประเทศดังกล่าวช่วงปี 56 ที่ผ่านมาขยายตัวสูงถึง 10%  นายเบญจรงค์ กล่าวว่า มีแผนที่จะทบทวนเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ใหม่อีกครั้ง จากเดิมที่ทำไว้ในช่วงยุบสภาฯ ปลายปี 56 ที่ผ่านมา โดยประเมินว่าจีดีพีจะโต 3.3% เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบทางเศรษฐกิจว่าจะมีมากน้อยแค่ไหนหลังจากที่เกิดสูญญากาศทางการเมือง แม้ว่าเศรษฐกิจในต่างประเทศจะฟื้นตัวและทำให้การส่งออกของไทยปรับตัวดีขึ้น แต่นักลงทุนยังมีความกังวลต่อปัญหาการเมืองในประเทศ  เพราะเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจดับ ทั้งการบริโภค และการลงทุนของภาครัฐลดลง   อย่างไรก็ตาม  ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองมาพร้อมกับข้อจำกัดการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหากปลดล็อกได้เร็วจะทำให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น  

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : โพลล์เอสเอ็มอีผวาการเมืองฉุดความเชื่อมั่นต่ำสุด

Posts related