ข้อกล่าวหาหนึ่งที่เราได้ยินอยู่บ่อย ๆคือค่าการตลาดทำให้น้ำมันมีราคาแพง โดยมีการยกตัวอย่างแก๊สโซฮอล์ 85 ว่า รัฐบาลได้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯมาอุดหนุนราคาถึงลิตรละ 11.60 บาท เพื่อให้บริษัทน้ำมันมีกำไร (ค่าการตลาด) ถึงลิตรละ 5 บาท ความจริงแล้วแก๊สโซฮอล์ 85 เป็นเพียงน้ำมันชนิดหนึ่งในจำนวนน้ำมันทั้งหมดที่มีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันและมียอดการจำหน่ายที่ต่ำมากเพียง 470,000 ลิตร/วัน จากยอดจำหน่ายน้ำมันเบนซินทั้งหมดที่ 21 ล้านลิตร/วัน นอกจากนั้นต้นทุนของแก๊สโซฮอล์ 85 ยังสูงกว่าน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ชนิดอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะต้องผสมเอทานอลที่มีราคาแพงกว่าน้ำมันเบนซินลงไปถึง 85% มีส่วนผสมของน้ำมันเบนซินเพียง 15% เท่านั้น (เอทานอลราคา 28.66 บาท/ลิตร ในขณะที่น้ำมันเบนซิน 95 ราคาหน้าโรงกลั่นฯอยู่ที่ 25.19 บาท/ลิตร) ค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 85 ก็ค่อนข้างสูง บริษัทน้ำมันต้องลงทุนสร้างถังน้ำมันใต้ดินชนิดพิเศษที่ทนทานต่อการกัด กร่อนรวมทั้งท่อทางเดินน้ำมันและหัวจ่ายน้ำมันที่สถานีบริการการจัดส่งน้ำมันจากคลังน้ำมันไปยังสถานีบริการต้องลงทุนนับล้านบาทต่อสถานีบริการในการเปิดจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 85 เมื่อเปิดแล้วก็ยังขายได้ไม่มากนักเพราะปริมาณรถที่เติมแก๊สโซฮอล์ 85 ได้ยังมีไม่มากนักดังนั้นเราจึงยังไม่เห็นบริษัทน้ำมันต่างชาติลงมาทำตลาดแก๊สโซฮอล์ชนิดนี้แต่อย่างใดเพราะถึงแม้จะได้ค่าการตลาดสูงถึงลิตรละ 5 บาท ก็ยังไม่คุ้ม (ซึ่งขณะนี้ค่าการตลาดแก๊สโซฮอล์ 85 ก็อยู่ที่ลิตรละ 4.84 บาทเท่านั้น) ส่วนน้ำมันชนิดอื่น ๆ นั้นไม่มีชนิดใดเลยที่มีค่าการตลาดสูงกว่า 1.80 บาท/ลิตร และต้องเข้าใจว่าค่าการตลาดนี้ไม่ใช่กำไรสุทธิของบริษัทน้ำมันนะครับแต่เป็นกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นี้ประกอบไปด้วยส่วนแบ่งกำไรให้กับผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันสูงสุดประมาณ 1 บาท/ลิตร ค่าขนส่ง ค่าคลังน้ำมัน ค่าเงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่ายในสำนักงาน ค่าส่งเสริมการจำหน่าย ฯลฯ รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 50-60 ส.ต./ลิตร ขึ้นอยู่กับยอดขายว่าขายมากหรือขายน้อย นี่ยังไม่นับเงินลงทุนในการสร้างสถานีบริการซึ่งเดี๋ยวนี้ต้องลงทุนกันเป็น 40-50 ล้านบาท/แห่ง (ไม่รวมค่าที่ดิน) ดังนั้นจะเห็นว่าถ้าค่าการตลาดเฉลี่ยของบริษัทน้ำมันได้น้อยกว่า 1.70 บาท/ลิตร จะไม่มีทางคุ้มทุนอย่างแน่นอน และจากตัวเลขของสำนักนโยบาย และแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ค่าการตลาดเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีของบริษัทน้ำมันก็อยู่ที่ 1.60 บาท/ลิตร เท่านั้นแสดงว่าบริษัทน้ำมันต้องไปแสวงหารายได้จากธุรกิจอื่นที่เรียกว่าธุรกิจ Non-oil มาจุนเจือ ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าค่าการตลาดทำให้น้ำมันราคาแพงนั้นผมได้ทำการวิเคราะห์แล้วพบว่า ค่าการตลาดนั้นคิดเป็นสัดส่วนของราคาขายปลีกเพียงแค่ 4-5% เท่านั้น ในขณะที่ภาษีและกองทุนฯนั้นคิดเป็น 30-45% ของราคาขายปลีกเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าจะโทษว่าใครทำให้น้ำมันแพงก็คงต้องโทษไปที่รัฐบาลละครับ!!!.
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ค่าการตลาดทำให้น้ำมันแพงจริงหรือเปล่า? – พลังงานรอบทิศ
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs