นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานกรรมการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติไหลถอนการลงทุนจากตลาดตราสารหนี้ถึง 39,000 ล้านบาท เป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 5,000 ล้านบาท ตราสารหนี้ระยะยาว 34,000 ล้านบาท เนื่องจากช่วงเดือนพ.ค. มีปัญหาภายในประเทศ จากการตัดสินคดีทางการเมืองค่อนข้างมาก จึงเป็นแรงกดดันการถือครองตราสารหนี้ ทำให้นักลงทุนต่างชาติถอนการลงทุนออกกว่า 65,253 ล้านบาทแต่อย่างไรก็ตาม หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มปรับตัวดีขึ้น ช่วงเดือน มิ.ย. และหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ (โรดแมป) ทำให้เงินทุนต่างชาติกลับเข้ามาอีกครั้งกว่า 30,835 ล้านบาท"ช่วงหลัง คสช.เข้าทำการบริหารประเทศ ส่งผลกดดันระยะสั้นต่อตลาดตราสารหนี้พอสมควร จากปกติมีเงินต่างชาติไหลออกวันละ 580 ล้านบาท หลังจากคสช.เข้าบริหารประเทศ 2 วัน มีอัตราการไหลออกถึงวันละ 6,750 ล้านบาท แต่หลังจากมีโรดแมป สถานการเริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง และมีเงินทุนต่างชาติกลับเข้ามาวันละ 1,185 ล้านบาท"สำหรับครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีเอกชนระดมทุนผ่านหุ้นกู้ 56 บริษัท มีมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งหมายทั้งปี 450,000 ล้านบาท ขณะที่มีบริษัทเอกชนรายใหม่ ออกหุ้นกู้ถึง 10 บริษัท จากเป้าหมายทั้งปี 15 บริษัท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี พร้อมทั้งประเมินว่ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าปีนี้จะมียอดหุ้นกู้ออกใหม่สูงสุดมากกว่าสถิติที่ผ่านมานอกจากนี้ ประเมินว่าช่วงครึ่งปีหลังนั้น นักลงทุนต่างชาติยังสนใจเข้าลงทุนตลาดตราสารหนี้ไทย หลังจากความขัดแย้งทางด้านการเมืองจบลง แต่ทั้งนี้ต้องจับตาเรื่องรัฐบาลใหม่ที่จะปฏิรูปและดำเนินการต่อจากคสช.ได้มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด รวมถึงปัจจัยจากต่างประเทศ ให้จับตาการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ที่อาจดึงเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนไทยมากขึ้น และจะกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องขึ้นดอกเบี้ย เพื่อดึงเงินทุนกลับเข้าในตลาดทุนไทยเช่นกันด้านนายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บลจ.ได้ปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นไปที่ 1,600 จุด เนื่องจากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาส 4 นี้ และไตรมาสแรกปีหน้า ซึ่งตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นล่วงหน้าก่อนตลาดปกติ 4-5 เดือน และคาดว่าจะเห็นเงินเข้ามาในตลาดทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากในและต่างประเทศส่วนการยกเลิกการให้สิทธิทางภาษีในการลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) จะส่งผลกระทบให้ผู้ลงทุนถอนการลงทุนออกไปจำนวนหนึ่ง เนื่องจากเสียผลประโยชน์ที่พึงได้ จากการลดหย่อนภาษีแล้ว ซึ่งบลจ.อาจจะรักษาฐานลูกค้าได้เพียง 30-50% ในส่วนลูกค้าที่ต้องการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการออมเงิน รวมทั้งจะใช้วิธีแนะนำลูกค้าบางส่วนเข้าไปในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) หรือกองทุนหุ้นอื่น ๆ เพิ่มเติม
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ต่างชาติเทขายตราสารหนี้ครึ่งปี3.9หมื่นล้าน
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs