shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

ราคาทอง24ก.พ.57 ปรับครั้งที่1 รูปพรรณขาย20,800บาท

วันที่ 24 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09:26 น. เว็บไซต์สมาคมค้าทองคำ ประกาศปรับราคาทองคำในประเทศครั้งที่ 1 โดยคงที่จากเดิม ทำให้ราคาปัจจุบันอยู่ที่ รูปพรรณขายบาทละ 20,800 บาท รับซื้อ 20,011.20 บาท ทองแท่งขายบาทละ 20,400 บาท รับซื้อ 20,300 บาทราคาทองคำและครั้งที่ปรับราคาทองคำปรับครั้งที่ 1 คงที่ รูปพรรณขายบาทละ 20,800 บาท รับซื้อ 20,011.20 บาท ทองแท่งขาย 20,400 บาท รับซื้อ 20,300 บาท เวลา 09:26 น.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ราคาทอง24ก.พ.57 ปรับครั้งที่1 รูปพรรณขาย20,800บาท

Posts related

 














‘ออมสินโมเดล’บทเรียนแบงก์รัฐถึงเวลาสร้างธรรมาภิบาลผู้บริหาร

“ออมสินโมเดล” หรือการแห่ถอนเงินออกจากธนาคารออมสินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากว่า 1 แสนล้านบาท  เพื่อแสดงความไม่พอใจบรรดาผู้บริหารและคณะกรรมการของธนาคาร ที่ไฟเขียวให้ธนาคารออมสินปล่อยเงินกู้ในลักษณะอินเตอร์แบงก์ระหว่างธนาคาร ในวงเงิน 20,000 ล้านบาท ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อนำไปใช้เสริมสภาพคล่องนั้น ได้กลายเป็นวิกฤติของธนาคารออมสินแบบชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงกว่า 100 ปีตั้งแต่มีการก่อตั้งธนาคารแห่งนี้ขึ้น ต้นตอของการแห่ถอนเงินที่ว่า จนบางสาขาของธนาคารออมสินต้องประสบปัญหาเงินสดเกลี้ยงธนาคารแบบไม่ทันตั้งตัว และผู้บริหารต้องไปขอยืมเงินฉุกเฉินต่างสาขากันแบบพัลวันนั้น  คงหนีไม่พ้นเรื่องของการ “เด้งรับ” นโยบายการเมืองมากเกินไป แม้ธนาคารออมสินจะบอกว่าเป็นการทำธุรกรรมตามปกติของธนาคารอยู่แล้วและไม่รู้ว่าธ.ก.ส.จะนำเงินไปใช้รับจำนำข้าว ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้กู้ตั้งแต่แรก แต่ทว่า…ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่เด็กอมมือก็รู้ว่าธ.ก.ส.จะนำเงินไปใช้ทำอะไร?  การเด้งรับนโยบายการเมืองในครั้งนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของฝ่ายการเมืองที่ครอบงำสถาบันการเงินของรัฐอย่างแท้จริง…โดยไม่สนใจกับความถูกผิดของกฎหมายหรือการมีธรรมาภิบาลของผู้บริหาร จนกลายเป็นปัญหาของการเสื่อมถอยขององค์กรหากสถานการณ์ปกติ และกระทรวงการคลังเปิดให้ธนาคารพาณิชย์เข้าร่วมประมูลสินเชื่อที่ปล่อยให้กับ ธ.ก.ส. ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รับรองว่าธนาคารพาณิชย์คงแย่งประมูลกันอย่างคึกคักไปแล้ว เพื่อต้องการชดเชยสินเชื่อแก่ภาคเอกชนที่ชะลอตัวจากสภาพเศรษฐกิจทั่วไป เมื่อโครงการขาดความโปร่งใส และรัฐบาลยังอยู่ในช่วงรักษาการ จึงทำให้บรรดานายแบงก์ต่างต้อง “คิดหนัก” แม้ว่าทุกฝ่ายต่างเห็นใจและเข้าใจสถานการณ์ของชาวนาก็ตาม  เห็นได้จากกรณีที่กระทรวงการคลังเชิญชวนธนาคารพาณิชย์ทั้งของรัฐและเอกชน 34 แห่ง ร่วมประมูลเงินกู้ เพื่อนำไปจ่ายจำนำข้าวก้อนแรก 20,000 ล้านบาท จากทั้งหมด 130,000 ล้านบาท เพื่อคัดเลือกวงเงินและดอกเบี้ยจากธนาคารที่เสนอเข้ามา สุดท้าย…กลับหน้าแตก เพราะไม่สามารถหาผู้เข้าประมูลเงินกู้ได้ แบงก์อื่นห่วงความเสี่ยง ปัจจัยที่ทำให้สถาบันการเงินต่าง “แหยง” ไม่กล้าเล่นด้วยคงกังวลถึงเรื่องภาพลักษณ์องค์กรและธรรมาภิบาลของธนาคาร เพราะโครงการรับจำนำข้าวเป็นที่รู้กันว่าขาดทุนเป็นจำนวนมาก และมีการทุจริตซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงไม่มีสถาบันการเงินแห่งไหนเสี่ยงปล่อยกู้ ที่สำคัญการประมูลครั้งที่ผ่านมาเป็นเพราะไม่มีความชัดเจนด้านกฎหมาย และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 ที่รัฐบาลรักษาการไม่สามารถก่อภาระผูกพันข้ามรัฐบาลได้ เพราะหากเปลี่ยนรัฐบาลหรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเมื่อไหร่ แล้วรัฐบาลชุดใหม่ไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้ธนาคาร  สุดท้ายเจ็บตัวแน่และคงต้องไปไล่ฟ้องตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องแทนที่จะฟ้องร้องต่อรัฐบาล หนีไม่พ้นการเมืองล้วงลูก    ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมานอกจากธนาคารออมสินแล้วยังมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติหรือเกือบจะเจ๊งครั้งแล้วครั้งเล่า เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงเข้าไปสนองนโยบายการเมืองมากเกินไป หรือไม่ก็ถูกการเมืองเข้าไปล้วงลูกผ่านการตั้งคณะกรรมการ (บอร์ด) เข้ามากดดัน จนผู้บริหารแบงก์หลายคนอนาคตต้องดับวูบมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งบอร์ดของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ที่เห็นได้ว่ามีบอร์ดจำนวนมากมาจากผลตอบแทนจากฝ่ายการเมืองทั้งที่ไม่มีความรู้ความสามารถ ขอเพียงสนองนโยบายรัฐ นักการเมืองและพรรคการเมือง ได้ก็อยู่ในตำแหน่งนี้อีกยาวนาน ส่วนธนาคารเฉพาะกิจที่มีความเสี่ยงสำหรับผู้บริหารที่ต้องสนองนโยบายการเมืองเช่น ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือเอสเอ็มอีแบงก์  ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่มุ่งช่วยเหลือและให้สินเชื่อแก่ธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นหลัก ในช่วง 10 ปีเศษ ที่ผ่านมา…มีปัญหาเรื่องการดำเนินคดีกับเอ็มดีเป็นว่าเล่น ส่วนหนึ่งมีผลที่เชื่อมโยงจากการสนองนโยบายนักการเมือง หรือมีปัญหาความขัดแย้งกับนักการเมือง เห็นได้จากในช่วงตั้งแต่ปี 45-57 มีการเปลี่ยนแปลงตัวเอ็มดีไปแล้ว 5-6 ราย ซึ่งรายล่าสุดเพิ่งถูกบอร์ดมีมติให้ออกทั้งที่เจ้าตัวยังงงอยู่ อย่างไรก็ตามแต่ละคนต้องเผชิญกับวิบากกรรมกันไปต่าง ๆ นานา กับการตั้งประเด็นข้อกล่าวหาส่วนใหญ่มักวนเวียนอยู่กับเรื่องทุจริตในการปล่อยสินเชื่อทำให้เป็นหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล และทำให้ธนาคารเสียหายรวมกันแล้วนับหมื่นล้านบาท โชคดีมีสหภาพเข้มแข็ง เช่นเดียวกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ เกษตร (ธ.ก.ส.) ถือว่าในช่วงหลังเป็นสถาบันการเงินที่โดดเด่นมากกับการที่ต้องจำใจในการสนองนโยบายการเมืองทุกยุคทุกสมัย  หากเป็นนโยบายที่โปร่งใสและเป็นที่ยอมรับของสังคมผู้บริหารโล่งอกโล่งใจไป  แต่หากเป็นโครงการไม่เข้าท่าผู้บริหารคงต้องกินไม่ได้ นอนไม่หลับเพราะบางช่วงเงินสภาพคล่องเกือบหมดแบงก์เช่นกัน ยิ่งต้องมารับบทบาทในการดูแลโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งแม้ว่าเป็นโครงการที่ดีสามารถช่วยให้ชาวนาที่มีไร่นาเยอะ ๆ มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ปัญหาอยู่ที่เงินอย่างเดียว เพราะเป็นการรับซื้อข้าวที่สูงกว่าตลาดโลกเฉลี่ยที่ 30-40% เมื่อรัฐบาลขายไม่ได้สุดท้ายปริมาณข้าวก็เต็มโกดัง มีปัญหาข้าวหาย  ไฟไหม้โกดัง และการทุจริตต่าง ๆ หลายขั้นตอน จนกระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถนำเงินมาคืนรัฐบาลมาจ่ายให้ชาวนาได้ทัน แต่ยังดีที่ผู้บริหารและสหภาพแรงงานของ ธ.ก.ส. ยังมีความเข้มแข็งมีความพร้อมต่อสู้ในการเรียกร้องต่อภาครัฐ กรณีที่มีการใช้งบประมาณในโครงการประชานิยมที่เกินขอบเขต   สุดท้ายจึงไม่ค่อยเห็นผู้บริหารถูกดำเนินคดีมากนักเหมือนกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ แบงก์รัฐหนี้เน่าเบ่งบาน หันมาที่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือไอแบงก์ แม้ไม่มีภาพการสนองนโยบายประชานิยมที่ชัดเจนเหมือนกับธนาคารอื่นมากนัก แต่เป็นอีกหนึ่งสถาบันการเงินของรัฐ ที่ถูกฝ่ายการเมืองเข้ามาวุ่นวายไม่น้อยเช่นกันหรือมีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง สุดท้ายเกิดปัญหาหนี้เอ็นพีแอล 39,000 ล้านบาทสูงสุดในประวัติการณ์ของไอแบงก์ และบางปีขาดทุนจำนวนมากมโหฬาร เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการปล่อยสินเชื่อแบบไม่มีคุณภาพ  ไม่รอบคอบ  ประเมินหลักประกันเกินจริง  รวมทั้งไม่ติดตามหนี้ที่ดีพอ จนก่อให้เกิดหนี้เสีย และผู้บริหารในบางตำแหน่งยังไม่มีศักยภาพเพียงพอ สุดท้ายผู้บริหารและพนักงานหลายรายถูกดำเนินคดีหรือถูกไล่ออก “ธนาคารกรุงไทย” เป็นอีกหนึ่งธนาคารที่ไม่สามารถปฏิเสธในข้อเท็จจริงได้เช่นกันว่า ถูกอำนาจการเมืองเข้าแทรก แซงแม้จะจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็ตามแต่ก็มีข่าวฉาวในอดีตกับการเข้ามาเกี่ยวข้องของนักการเมือง จนเกิดความเสียหายแก่ธนาคารอย่างมาก สุดท้ายนักการเมือง และอดีตผู้บริหารและพนักงานถูกดำเนินคดีแบบกราวรูด ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502  โดยเฉพาะการให้สินเชื่อกับเอกชน ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร ซึ่งกรณีนี้นักการเมืองที่เกี่ยวข้องรอดหลายคนโดยอ้างว่าเป็นการพิจารณา ผู้บริหารธนาคารเอง ขณะที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศ ไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ ก็มีปัญหาเรื่องของการปล่อยเงินกู้แก่รัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 4,000 ล้านบาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตรา 3% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าราคาต้นทุนของเอ็กซิมแบงก์ ทำให้รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณชดเชยผลขาดทุนให้แก่ เอ็กซิมแบงก์ สุดท้ายเรื่องดังกล่าวศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งรับฟ้องคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองหรือผู้อื่น ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแบงก์รัฐทั้งในอดีตและปัจจุบัน จนเกิดวิกฤติความเสื่อมศรัทธาของลูกค้าในบางช่วงบางเวลา สาเหตุใหญ่ มาจากนักการเมือง ที่เข้าไปใช้เป็นเครื่องมือ ในการสนองนโยบายประชานิยม เนื่องจากไทยไม่มีงบประมาณเพียงพอในการดำเนินการได้ สุดท้ายผู้ที่เสียหายคือ ประชาชนเพราะหากแบงก์รัฐเสียหายหรือขาดทุนก็ต้องใช้เงินภาษีไปอุ้มและเพิ่มทุนเพื่อให้ธนาคารอยู่รอด แม้ว่า…ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐจะถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกเป็นแขนเป็นขาให้กับรัฐบาลในการเดินหน้านโยบาย โดยมีเป้าหมายไปที่เดียวกันคือช่วยเหลือคนไทยทั้งประเทศ แต่การทำหน้าที่ของธนาคารเฉพาะกิจแต่ละแห่งก็ควรเป็นไปด้วยความถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า …คือการมีธรรมาภิบาลของผู้บริหาร เพราะเชื่อว่าเมื่อผู้บริหารมีธรรมาภิบาลทุกอย่างจะเดินหน้าไปอย่างถูกต้อง. ทีมเศรษฐกิจ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ‘ออมสินโมเดล’บทเรียนแบงก์รัฐถึงเวลาสร้างธรรมาภิบาลผู้บริหาร

ดึงนักท่องเที่ยวเวียดนามทำกิฟต์

นางสาวจุฑาทิพย์ เจริญลาภ ผู้อำนวยการสำนักงานโฮจิมินห์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า เตรียมจับตลาดดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสตรีระดับเศรษฐีที่มีบุตรยากในประเทศเวียดนามเพื่อมาทำการรักษาเทคโนโลยีเจริญพันธ์(ทำกิฟต์) ในไทย เนื่องจากคนเวียดนามมั่นใจในความเป็นมืออาชีพและการบริการของแพทย์ไทยมาก บวกกับขณะนี้สังคมกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องการเพิ่มกลุ่มคนในช่วงเยาวชนให้มากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสให้ไทยเร่งทำแผนจับกลุ่มตลาดและเร่งทำรายได้เพราะการทำต้องใช้จ่ายสูง โดยจะเน้นใช้แผนทั้งจับมือกับพันธมิตรกับโรงพยาบาลในไทยที่มีชื่อเสียง และ การจัดทำทัวร์บุญไหว้เพราะขอพรให้สมหวังในเรื่องการมีบุตร “ททท.ได้แผนส่งเสริมการตลาด จึงศักยภาพของกลุ่มเศรษฐีในกรุงโฮจิมินห์มีถึง 300,000 คนจากนักท่องเที่ยวที่มาไทยประมาณ 700,000 คน ซึ่งในนั้นก็มีกลุ่มผู้หญิงมีบุตรยากรวมเป็นสัดส่วนที่น่าสนใจจะทำตลาดได้อยู่ด้วย และส่วนใหญ่นิยมเดินทางมาไทย เพราะใช้เวลาเดินทางมาไม่นาน แถมยังสามารถมาช็อปปิ้งต่อได้ด้วย” อย่างไรก็ตาม การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา มีผลกระทบทำให้การเดินทางของตลาดเวียดนามลดลง เนื่องจากกังวลว่าประกันภัยการเดินทางจะไม่ครอบคลุม และระหว่างนี้ต้องเร่งสร้างแรงจูงใจด้วยการจับมือกับ สายการบินเวียดนาม แอร์ไลนส์ ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติ และเวียดเจ็ต แอร์ ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ(โลว์คอสต์)รายใหญ่ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจมาไทยระหว่างเดือน ก.พ.-เม.ย.ให้เพิ่มมากขึ้น นายพงศธร เกษสำลี รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ททท. กล่าวว่า ททท.เตรียมจัดทำแผนการตลาดหลักในปี 58แล้วโดยจะเน้นเริ่มให้ความสำคัญกับทำโครงการแบบเจาะตรงไปยังกลุ่มสินค้าหลักที่ต้องการประชาสัมพันธ์ แล้วให้หน่วยงานต่างๆ ใน ททท.ที่เกี่ยวข้องมาบูรณาการในการส่งเสริมสินค้าท่องเที่ยวร่วมกันให้ได้ผลยิ่งขึ้น ต่างจากเดิมที่มุ่งเน้นโครงการในรูปแบบที่ให้แต่ละหน่วยงานต่างจัดทำแผนตามภารกิจและสายงานของตัวเอง ทั้งนี้รูปแบบการทำงานลักษณะนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ในการใช้งบประมาณสูงสุด และสอดรับกับเกณฑ์การประเมินผลรูปแบบใหม่ของ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ที่กำหนดตัวชี้วัด (เคพีไอ) ให้หน่วยงานราชการจัดทำแผนดำเนินงานโดยอิงกับผลการวิจัยเป็นหลัก ซึ่ง ททท.เองมีกองงานวิจัยที่จัดทำผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวออกมาสม่ำเสมออยู่แล้ว ต่อไปจึงมอบหมายให้มีการหยิบยกหัวข้องานวิจัยเหล่านั้นมาต่อยอดเป็นแผนการตลาด ตามที่ สคร.กำหนดทิศทางไว้มากขึ้น “ในปีนี้ ททท.จะเริ่มจัดทำแผนโครงการนำร่องเพื่อเป็นตัวอย่างก่อนโดยเลือกวางกลยุทธ์ส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวที่ชอบบริการทางการท่องเที่ยวในระดับสูงสุด(ลักชัวรี) และมอบหมายให้ ททท.สำนักงานโฮจิมินห์ เป็นผู้จัดทำแผนตลาดดังกล่าว และภายในปีนี้จะเห็นเป็นแผนเชิงปฏิบัติการ(แอคชั่นแพลน)เป็นโมเดลให้ใช้สำหรับภูมิภาคอาเซียน หรือหากสำนักงาน ททท.อื่นเห็นว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายของตนเอง จะได้นำรูปแบบไปใช้ได้ทันที และหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะได้ใช้วัดผลด้วยว่าจะทำให้เคพีไอขององค์กรเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร”

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ดึงนักท่องเที่ยวเวียดนามทำกิฟต์

Page 1005 of 1552:« First« 1002 1003 1004 1005 1006 1007 1008 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file