รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่าขณะนี้ให้ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มในบางพื้นที่ได้มีการปรับเพิ่มสูงถึง 75บาทต่อกก. ซึ่งสูงกว่าราคาแนะนำที่กำหนดไว้กับกรมการค้าภายในไม่เกิน 72 บาทต่อกก. ส่งผลให้ราคาหมูหน้าเชียงในบางจังหวัดมีราคา155-160 บาทต่อกก. เกินราคาเพดานที่ควบคุมไว้ที่ไม่เกิน 150 บาทต่อกก.เช่นกัน เนื่องจากผู้เลี้ยงหมูอ้างในเรื่องภาวะอากาศทำให้หมูป่วยเติบโตช้า น้ำหนักต่อตัวลดลง และ กำลังเข้าสู่เทศกาลตรุษจีนที่จะมีความต้องการหมูเพิ่ม 2-3 เท่ากว่าภาวะปกติทำให้เกิดการสั่งซื้อและกักตุนจัดเก็บตามห้องเย็น นายสมชาติ สร้อยทองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ราคาแนะนำระหว่างวันที่ 16 – 22 ม.ค. 57 ขยับสูงกว่าสัปดาห์ก่อนตามภาวะปริมาณหมูลดลงแต่ปริมาณความต้องการเพิ่ม ทำให้ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง และภาคตะวันตก ราคา กก. ละ 71 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ราคา กก.ละ 74 บาท ภาคตะวันออกราคา กก. 73 บาท ภาคใต้ ราคา กก. ละ 70 บาท และภาคเหนือ ราคา กก.ละ 75 บาท ส่วนราคาจำหน่ายส่งหมูชำแหละ(หมูซีก)ไม่เกิน ราคากก.ละ 83-89 บาท ราคาจำหน่ายส่งชิ้นส่วนหมูเนื้อแดง (เนื้อสะโพก เนื้อไหล่) ไม่สูงกว่าราคากก.ละ 115-123 บาท ราคาจำหน่ายปลีกหมูเนื้อแดงไม่ตัดแต่ง(เนื้อสะโพก เนื้อไหล่) ไม่สูงกว่าราคากก.ละ 130-139 บาท ราคาจำหน่ายปลีกหมูเนื้อแดงตัดแต่ง (เนื้อสะโพกเนื้อไหล่) ไม่สูงกว่าราคา กก.ละ 140-150 บาท แหล่งข่าวจากผู้เลี้ยงหมู กล่าวว่าราคาหมูเป็นในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ปรับราคาเพิ่มขึ้นถึงกก.ละ 8-10 บาทจากกก.ละ 64 บาท ขึ้นมาเป็นกก.ละ 72 บาทซึ่งชนเพดานราคาสูงสุดที่กรมขอความร่วมมือไว้กับกลุ่มผู้เลี้ยงหมูแล้วโดยสาเหตุที่ราคาหมูเพิ่มขึ้นเนื่องจากหมูเป็นมีอัตราสูญเสียเพิ่มขึ้นจาก 10-15% เป็น 25-30% เพราะปัญหาโรคในหมูซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทยแต่ประเทศเพื่อนบ้านก็ประสบปัญหาอัตราสูญเสียดังกล่าวทำให้ความต้องการนำเข้าหมูจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นผลในช่วงเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ต่อเนื่องไปจนถึงเทศกาลตรุษจีนทำให้ความต้องการบริโภคเนื้อหมูเพิ่มขึ้น ราคาจึงขยับขึ้นมาซึ่งราคาหมูเป็นที่กก.ละ 72 บาท ราคาขายปลีกหมูเนื้อแดงอยู่ที่กก.ละ 140 บาทแต่มีบางพื้นที่ที่อาจขายเกินราคาดังกล่าว เพราะได้รับผลกระทบจาการขนส่งที่ลำบากมากขึ้นจากการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเพทฯและปริมณฑลเข้ามาประกอบด้วยแต่เชื่อว่าหลังผ่านเทศกาลตรุษจีนราคาหมูเนื้อแดงจะปรับตัวลดลงตามความต้องการบริโภคที่ลดน้อยลง
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ราคาหมูทะลุเพดานควบคุม
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ปริมาณรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนธ.ค. 56 มีทั้งสิ้น 158,893 คัน ต่ำสุดรอบ 20 เดือน ลดลง 28.22% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการรถยนต์ ไม่ต้องเร่งผลิตรถยนต์ เพื่อรับโครงการรถยนต์คันแรกแล้ว รวมทั้งยอดจำหน่ายในประเทศลดลง เพราะกำลังซื้อของประชาชนลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ในปี 56 มีปริมาณรวม 2,457,086 คัน ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 2.55 ล้านคัน แต่เป็นยอดการผลิตสูงสุดตั้งแต่มีการผลิตรถยนต์ในไทย หรือในรอบ 52 ปี “ ตอนแรกค่ายรถยนต์คาดหวังว่า ยอดการผลิตรถยนต์ในเดือนธ.ค. จะมีปริมาณสูง แต่ยอดผลิตจริงกลับต่ำลง เลยทำให้ทั้งปีกยอดรถยนต์ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 100,000 คัน ส่วนหนึ่งมาจากโครงการรถยนต์คันแรก ที่มีผู้จองทิ้งรถกว่า 100,000 ราย เนื่องจากมีการจองรถหลายรุ่นซ้ำซ้อนกัน เพื่อให้ได้รับสิทธิคืนภาษีทันตามกำหนด ขณะเดียวกันก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น และสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ส่วนเป้าหมายการผลิตปี 57 นั้น อยู่ระหว่างการประเมินแผนของแต่ละค่ายรถยนต์ เบื้องต้นเมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองแล้ว คาดว่าเป้าหมายจะอยู่ที่ไม่เกิน 2.5 ล้านคัน หรือมีแนวโน้มต่ำกว่านั้น ซึ่งเป็นเป้าการผลิตที่ต่ำกว่าปี 56″ นายกุสตาโว แดเนียล โคลอซซี รองประธานฝ่ายขาย การตลาดและการบริการ ประจำประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายครองส่วนแบ่งการตลาด 4.4-4.6% จากปี 56 มียอดขาย 56,389 คัน ส่วนตลาดรวมคาดว่ามียอดขkยไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านคัน 
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย ในเดือนธ.ค. 56 อยู่ที่ระดับ 88.3 ปรับตัวลดลงจากระดับ 90.3 ในเดือนพ.ย. ถือเป็นค่าดัชนีต่ำสุดในรอบ 25 เดือน นับตั้งแต่ ธ.ค. 54 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลทางการเมือง ที่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภายในประเทศลดลง รวมทั้งลูกค้าต่างประเทศเริ่มชะลอคำสั่งซื้อ ขณะที่ต้นทุนการผลิต และราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 100.9 ลดลงจากระดับ 101.4 ในเดือนพ.ย. เนื่องจากผู้ประกอบการกังวลยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการจะลดลง โดยขณะนี้ผู้ประกอบการ ต้องการให้ทุกฝ่าย เร่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วยสันติวิธีโดยเร็วที่สุด และต้องการให้ภาครัฐกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ รวมทั้งส่งเสริมสินเชื่อ เพื่อการปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี “จากเหตุการณ์ต่างๆที่ยังไม่นิ่ง ส่งผลให้ทั้งผู้ประกอบการ ต้องปรับแผนธุรกิจใหม่ใหม่ทั้งหมด ซึ่งตอนนี้เริ่มมีสัญญาณไม่ดีแล้ว ทั้งภาคการบริโภค ชะลอตัว การลงทุนภาคเอกชน การนำเข้าสินค้าทุน วัตถุดิบลดลงทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 จะไม่สดใส จากเดิมคาดว่า เศรษฐกิจจะเติบโตได้ถึง 5% เป็นไปตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเติบโตดี แต่ตอนนี้ต้องกลับมาพิจารณาใหม่ว่า เศรษฐกิจจัะขยายตัวได้เท่าไร ” 
