shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

ราคาทองคำ 26 ธ.ค. 56 ปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 50 บาท

วันที่ 26 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09:29 น. เว็บไซต์สมาคมค้าทองคำ ประกาศปรับราคาทองคำในประเทศครั้งที่ 1 โดยเพิ่มขึ้นจากเดิม 50 บาท ทำให้ราคาปัจจุบันอยู่ที่ รูปพรรณขายบาทละ 19,150 บาท รับซื้อ 18,373.92 บาท ทองแท่งขายบาทละ 18,750 บาท รับซื้อ 18,650 บาท ราคาทองคำและครั้งที่ปรับ ราคาทองคำปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 50 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,150 บาท รับซื้อ 18,373.92 บาท ทองแท่งขาย 18,750 บาท รับซื้อ 18,650 บาท เวลา 09:29 น.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ราคาทองคำ 26 ธ.ค. 56 ปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 50 บาท

Posts related

 














เปิดอก ‘ธวัชชัย อรัญญิก’ แผนผลักดันท่องเที่ยวปี57

ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองที่กำลังถาโถมเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้กลายเป็นความหวังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าตามเป้าหมายแต่เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา เพิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อวงการท่องเที่ยวไทย เมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เปลี่ยนหัวเรือใหญ่ “ธวัชชัย อรัญญิก” ขึ้นเป็นผู้ว่าการ ททท.คนใหม่แบบสด ๆ ร้อน ๆ  ในโอกาสนี้รายการ “เศรษฐกิจติดจอ” ทางช่องเดลินิวส์ทีวี จึงได้มีโอกาสสัมภาษณ์เปิดใจเป็นรายแรกถึงนโยบายขับเคลื่อนท่องเที่ยวในปี 57    ผู้ว่าการธวัชชัย เริ่มเล่าว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือนโยบายผลักดันการท่องเที่ยวแบบเร่งด่วน หรือเรียกว่า  (ควิกวิน) เพื่อรับมือปัญหาการท่องเที่ยวบางตลาดที่ชะลอตัว และนักท่องเที่ยวยังไม่ตัดสินใจเดินทางมาเนื่องจากปัญหาการเมืองภายใน ที่ได้กระทบต่อความเชื่อมั่นชาวต่างชาติไปมาก แต่การฟื้นภาพลักษณ์ไทยในทันทีอาจทำได้ยากเพราะภาพและข่าวที่นำเสนอออกไปได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้วทั้งจากสื่อในประเทศและต่างชาตินักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็คิดว่าประเทศไทยเป็นแบบนี้ทั้งหมด  ทั้งที่จริงสถานที่เกิดเหตุนั้นเป็นเพียงเฉพาะแห่งเท่านั้น ไม่ได้เกิดทั้งประเทศ ดังนั้นสิ่งแรกที่เร่งทำงานหลังรับตำแหน่งใหม่ คือ การทำนโยบายประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นควบคู่ไปกับการทำตลาดแบบดิจิตอลเชิงรุก เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องให้นักท่องเที่ยวได้เห็นอย่างรวดเร็ว เริ่มจากการพัฒนาเว็บไซต์ของ ททท. คือ  www.tourismthailand.org/ ให้มีศักยภาพเพิ่มเพื่อรองรับการนำข้อมูลจากกล้องวงจรปิด (กล้องซีซีทีวี) ตามแหล่งท่องเที่ยวหลักทั่วประเทศไปถ่ายทอดสดออกไปให้เห็น เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถดูสถานที่ท่องเที่ยวได้ ณ ตอนนั้น และเห็นว่าแหล่งท่องเที่ยวหลัก ๆ ที่จะไปนั้นไม่ได้รับผลกระทบด้านการชุมนุมประท้วงเลย “ที่ผมต้องเร่งฉายภาพให้นักท่องเที่ยวได้เห็นภาพชัด ๆ แบบนี้ เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่ยังไม่เคยเดินทางมาในประเทศไทย (เฟิสต์ วิสิท) เพราะหากเห็นภาพแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรก จะต้องเกิดความกังวลใจมากส่วนในกลุ่มนักท่องเที่ยวขาประจำไม่น่ากังวลเพราะกลุ่มนี้คุ้นชินกับสภาพบ้านเมืองไทยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เป้าหมายหลักของ ททท. คือต้องการได้นักท่องเที่ยวมีคุณภาพใช้จ่ายสูง ซึ่ง กลุ่มเฟิสต์ วิสิทเข้ามาเพิ่มขึ้น ดังนั้น แผนเร่งด่วนนี้จึงต้องเร่งทำให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว” นอกจากนี้ ททท. ยังจะปรับแผนประเมินสถานการณ์การท่องเที่ยวให้เร็วขึ้น จากปกติปีละ 1 ครั้ง เป็น 3 เดือน ครั้ง หรือทุกไตรมาส เพื่อให้เห็นภาพแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของนักท่องเที่ยวได้เร็วขึ้นว่ามีทิศทางไปในแนวทางใด และหากตลาดใดมีแนวโน้มที่เติบโตถดถอย ททท. ก็สามารถเข้าไปปรับแผนเร่งทำตลาดได้อย่างทันท่วงที     ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายทั้งภาครัฐและ เอกชน เป็นห่วงเกี่ยวกับการชุมนุมที่ยืดเยื้ออาจกระทบต่อเป้าหมายด้านการเติบโตของนักท่องเที่ยวลดลงในปี 57 ว่า ส่วนตัวมองว่าไม่น่ามีผลกระทบให้ลดลง โดยยืนยันว่า ปี 57 นักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 28.01 ล้านคน เติบโตประมาณ 7.28% และมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.326 ล้านบาท เติบโต 13% ซึ่งตลาดหลักที่จะเดินทางเข้ามามากที่สุด คือ จีนและ รัสเซีย ขณะเดียวกัน ททท. จะเน้นการเจาะตลาดไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายสูง (ไฮเอนด์) ที่ถึงแม้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะมีอยู่ประมาณ 10% ทั่วโลก แต่ ททท. พยายามรักษาระดับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ยังคงอยู่ และมาเที่ยวไทยเหมือนเดิมมากกว่าให้สอดคล้องกับนโยบายที่ต้องการเน้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ    อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวในระดับล่างถึงกลางนั้น ก็ไม่ได้เพิกเฉยไป เพราะถือเป็นกลุ่มที่เดินทางมาประเทศไทยบ่อยอยู่แล้วแต่สิ่งที่ทำคือจะพยายามกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่ม และโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวใหม่ให้เกิดกระจายตัวไปแหล่งอื่น เช่น กลุ่มสแกนดิเนเวียที่เคยเที่ยวภูเก็ตและชอบความสงบ แต่ปัจจุบัน ภูเก็ตกลับมีนักท่องเที่ยวจากจีนและรัสเซียที่ชื่นชอบความบันเทิงเข้ามามากขึ้น กลุ่มสแกนฯ จึงหันความสนใจไปท่องเที่ยวเขาหลัก จังหวัดพังงาแทน ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการกระจายความแออัดและลดความเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยวไปในตัว    ดังนั้นในปีหน้า ททท. จึงเตรียมจัดหาแหล่งท่องเที่ยวรองเพื่อกระจายนักท่องเที่ยวพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้นโดยในเดือน ม.ค. 57 จะเปิดโครงการใหม่เป็นของขวัญให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ภายใต้แคมเปญ “หลงรักประเทศไทย” อยู่ภายใต้โครงการดรีม เดสติเนชั่น กาลครั้งหนึ่งที่คุณต้องไป เพื่อประชาสัมพันธ์และทำการตลาดในการดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้รับรู้ว่าประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในไทย ที่ทุกคนคาดคิดไม่ถึง และมีความสวยงามอยู่มากมาย  จึงเชื่อว่าจากนโยบายเร่งด่วนที่กำลังเร่งทำเพื่อลดผลกระทบทางการเมืองประกอบกับการออกแคมเปญช่วยลดปัญหาแหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรม จะช่วยทำให้การท่องเที่ยวในสายตาของชาวต่างชาติได้ดีขึ้นและสามารถผลักดันรายได้การท่องเที่ยวในปี 57 ให้ถึงเป้าหมายได้. เอวิกานต์ บัวคง

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เปิดอก ‘ธวัชชัย อรัญญิก’ แผนผลักดันท่องเที่ยวปี57

สศค.เล็งชงรัฐบาลใหม่ปรับโครงสร้างภาษีทิ่ดิน-สิ่งปลูก

นายสมชัยสัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)  เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างภาษีใหม่ในปี 57 ยังไม่มีความชัดเจนเพราะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลที่จะเข้ามารับตำแหน่งในปีหน้า  เพราะโครงสร้างภาษีในช่วงที่ผ่านมาเน้นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเช่น การลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 20%  ดังนั้นจึงเหลือการปรับโครงสร้างภาษีเกี่ยวกับความเป็นธรรมกับสังคม เช่น การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง   ซึ่งจะเริ่มในพื้นที่ที่รกร้างว่างเปล่าและไม่ได้ใช้ประโยชน์ โดยจะให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)เป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บ เพื่อให้ท้องถิ่นมีเงินไปลงทุนเพิ่มและยังช่วยลดการใช้จ่ายด้านการลงทุนของรัฐบาล นอกจากนี้ยังจะเสนอการจ่ายคืนภาษีเพื่อช่วยคนจนเป็นการจ่ายเงินคืนให้กับผู้มีรายได้น้อยโดยตรงโดยกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่มีรายได้ไม่ต้องเสียภาษีต้องเข้ามายื่นแบบแสดงรายการเงินได้แล้วรัฐบาลจะโอนเงินช่วยเหลือตามระดับความยากจน  สำหรับการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อหารายได้ให้ประเทศเช่น  การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จาก 7% เป็น 10% ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลใหม่ ส่วนการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มทั้งระบบนั้น  จะต้องสะท้อนหลักสุขภาพประชาชน ลดความฟุ่มเฟือยและสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการด้วย  “การปรับเพิ่มประสิทธิภาพของกรมภาษีต่างๆ  ด้วยการนำระบบสารสนเทศหรือไอทีเข้ามาเชื่อมโยงข้อมูลของ3 กรมภาษี คือกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร เข้าด้วยกันเป็นเรื่องจำเป็น  เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบการเสียภาษีของภาคเอกชนในกลุ่มประเภทเดียวกันมีความใกล้เคียงกันหรือไม่ ซึ่งเป็นทางหนึ่งในการเก็บภาษีเพิ่ม  อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าถ้าระบบไอทีสมบูรณ์จะทำให้กรมสรรพากรตรวจสอบภาษีซื้อขายตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้  โดยจะช่วยให้การรั่วไหลด้านภาษีน้อยลงส่งผลให้การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น”  

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : สศค.เล็งชงรัฐบาลใหม่ปรับโครงสร้างภาษีทิ่ดิน-สิ่งปลูก

Page 1242 of 1552:« First« 1239 1240 1241 1242 1243 1244 1245 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file