shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

ยอดขายหมูหด 10%

นายกิดดิวงศ์ สมบุญธรรม เลขาธิการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้การบริโภคเนื้อสุกรลดลง 10% เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงผลจากการชุมนุมทางการเมือง ทำให้ผู้บริโภคมีความเครียด แต่ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่มีผลกระทบต่อราคาสุกร เพราะผลผลิตสุกรลดลงจากภาวะอากาศผันผวน และโรคระบาดในหมู ส่งผลให้ราคาทรงตัวต่อเนื่อง 6-7 สัปดาห์ที่ผ่านมา “ได้หารือกับในกลุ่มผู้เลี้ยง ว่าจะยังตรึงราคาสุกรไปเรื่อย ๆ แม้บางพื้นที่เตรียมขยับราคาในช่วงเดือนธ.ค.นี้ เพื่อรองรับเทศกาลปีใหม่ แต่จากสำรวจการบริโภคปลายทาง พบว่ากำลังซื้อลดลง ดังนั้นการปรับขึ้นราคาอาจเป็นผลเสียต่อผู้เลี้ยงมากกว่า โดยเฉพาะพ่อค้าคนกลาง หากขยับราคาเนื้อหมูชำแหละ ยิ่งเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากประชาชนจะลดการบริโภคลง หรือหันไปบริโภคสินค้าโปรตีนอื่นแทน เพราะสินค้าโปรตีนอื่น ๆ ยังไม่ขยับราคา” ขณะเดียวกันสมาคมฯ เตรียมสัมมนา เพื่อให้ความรู้กับกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ในการปรับตัวลดต้นทุนการเลี้ยง เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพราะต้นทุนเลี้ยงของไทยยังสูงกว่าเพื่อนบ้าน และการจะใช้การขยับราคาต่อเนื่องคงทำได้ยากขึ้นในอนาคต นายสมชาติ สร้อยทอง อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯ ได้ประกาศราคาแนะนำเนื้อหมูทั้งระบบ ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 18-24 พ.ย.นี้ โดยราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์ม พื้นที่กทม. ภาคกลาง และภาคตะวันตก ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 66 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 66 บาท ภาคตะวันออก ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 68 บาท ภาคใต้ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 72 บาท และภาคเหนือไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 72 บาท ทั้งนี้ ส่งผลให้ราคาจำหน่ายส่งหมูชำแหละ(หมูซีก) กทม. ภาคกลาง และภาคตะวันตก ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 79 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 79 บาท ภาคตะวันออก ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 81 บาท ภาคใต้ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 85 บาท และภาคเหนือ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 85 บาท ส่วนราคาจำหน่ายส่งชิ้นส่วนหมูเนื้อแดง(เนื้อสะโพก เนื้อไหล่) กทม. ภาคกลาง และ ภาคตะวันตก ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 109 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 109 บาท ภาคตะวันออก ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 112 บาท ภาคใต้ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 117 บาท และภาคเหนือ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 117 บาท สำหรับ ราคาจำหน่ายปลีกหมูเนื้อแดงไม่ตัดแต่ง (เนื้อสะโพก เนื้อไหล่) กทม.ภาคกลาง และภาคตะวันตก ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 124 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 124 บาท ภาคตะวันออก ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 127 บาท ภาคใต้ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 132 บาท และภาคเหนือไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 132 บาท ขณะที่ ราคาจำหน่ายปลีกหมูเนื้อแดงตัดแต่ง (เนื้อสะโพก เนื้อไหล่) กทม. ภาคกลาง และ ภาคตะวันตก ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 134 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 134 บาท ภาคตะวันออก ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 137 บาท ภาคใต้ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 143 บาท และภาคเหนือ ไม่สูงกว่ากิโลกรัมละ 143 บาท “กรมจะติดตามสถานการณ์และราคาหมูอย่างใกล้ชิด และขอให้ผู้จำหน่ายปลีกปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายให้ผู้บริโภคเห็นอย่างชัดเจน ถ้าหากไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้ามีโทษปรับไม่เกิน 10,000 นบาท ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแจ้งที่สายด่วน 1569 หรือสำนักงานการค้าภายในจังหวัดทั่วประเทศ”

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ยอดขายหมูหด 10%

Posts related

 














คนไทยยังพูดภาษาอาเซียนน้อย

นายขจร วีระใจ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยในการประชุมการท่องเที่ยวอาเซียนระดับชาติปี 56 ว่า ในอาเซียนด้วยกันขณะนี้ ไทยยังเก่งแต่ภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ยอมเรียนรู้ภาษาของสมาชิกอาเซียนเท่าใดนัก เช่น ภาษาบาฮาซาร์ ภาษาพม่า เป็นต้น โดยจากการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยและยุโรป พบว่า คนไทยยังพูดภาษาในอาเซียนได้น้อยมาก อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) แล้ว ไทยอาจจะเสียเปรียบเรื่องการทำธุรกิจท่องเที่ยว ที่จะมีต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจ แย่งชิงตลาดนักท่องเที่ยวแน่นอน และคาดว่าในปี 61 สัดส่วนรายได้อาจจะถูกแบ่งไปอยู่ในกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติมากขึ้นด้วย “ขณะนี้ต้องยอมรับว่าคนไทย ยังพูดภาษาในอาเซียนได้น้อยมาก โดยเฉพาะภาษาบาฮาซาร์ซึ่งเป็นภาษาที่มีประชากรใช้มากที่สุดในอาเซียน ถึง 250 ล้านคน ขณะที่มองกลับไปพม่า ลาว เวียดนาม เริ่มที่จะพูดภาษานี้ได้แล้ว รวมถึง เริ่มฝึกหัดภาษาไทยแล้วด้วย เพราะกลุ่มสมาชิกอาเซียนมองเห็นแล้วว่า ไทยมีศักยภาพเรื่องแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงยังเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคม จึงทำให้หลายประเทศสนใจที่จะเริ่มหันมาลงทุนด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว” สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอาเซียนช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เติบโตขึ้นปีละ 8.4% และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 18% แต่ในไทย นักท่องเที่ยวทั่วโลกเติบโตมากกว่าถึงปีละ 11.2% และหากพิจารณาจากรายได้การท่องเที่ยว กลับพบว่า รายได้จากนักท่องเที่ยวอาเซียนทั้งหมดมีเฉลี่ยปีละ 18% แต่เฉพาะไทยมีถึง 17.6% นอกจากนี้ องค์การการท่องเที่ยวโลกยังคาดการณ์ว่า อาเซียนจะมีนักท่องเที่ยวเติบโตในปีช่วงปี 38-63 ถึง 6.5% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของโลกที่มี 4.1 % และในปี 63 นักท่องเที่ยวในภูมิภาคจะมีถึงปีละ 136 ล้านคน ด้านนายสรรเสริญ เงารังษี อดีตคณะทำงาน ด้านตลาดการสื่อสารและท่องเที่ยวอาเซียน กล่าวว่า ขณะนี้การจัดระดับ และวัดผลศักยภาพด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอาเซียนยังใช้มาตรฐานของเวิร์ล อีโคโนมิค ฟอรั่ม อยู่ซึ่งถือเป็นมาตรฐานใหญ่แบบสากลของโลก แต่หากเทียบกับการท่องเที่ยวในอาเซียน อาจไม่เหมาะกับการใช้เกณ์ดังกล่าวนัก ในอนาคตไทย และประเทศสมาชิกอาเซียน ควรมีข้อตกลงในการลงนาม และปรับเกณฑ์ด้านการท่องเที่ยวเป็นของกลุ่มตัวเอง เพื่อวัดระดับให้ได้ชัดเจน นายวุฒิชัย มากวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทหนุ่มสาวทัวร์ กล่าวว่า เมื่อเปิดเออีซีแล้ว การท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศ และนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ จะหันมานิยมเดินทางรอบอาเซียนโดยทางรถยนต์เพิ่มมากขึ้น และเส้นทางท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุด ที่นักท่องเที่ยวไทยจะเดินทางไปมากที่สุด คือ พม่า เนื่องจากเป็นประเทศเปิดใหม่ ทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ แต่ทั้งนี้พม่ายังเสียเปรียบเรื่องราคาห้องพัก ที่มีไม่มาก ทำให้อัตราเฉลี่ยห้องพักแพงกว่าไทย50-80%

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : คนไทยยังพูดภาษาอาเซียนน้อย

คอนโดมิเนียมล้นตลาดกทม.และปริมณฑล

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า ได้สำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลสิ้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ขณะนี้มีคอนโดมิเนียมรอการขาย362 โครงการ รวม 170,200 หน่วย เพิ่มขึ้นมากกว่าการสำรวจเมื่อ 6 เดือนก่อนหน้า 30,000 หน่วย ที่สำคัญ เป็นหน่วยที่ก่อสร้างใหม่ในปีนี้สูงถึง 75,000 หน่วย ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วตลอดทั้งปี แต่มียอดขายโดยรวม 75% เท่านั้น ส่งผลมีคอนโดฯ เหลือขายถึง 42,900 หน่วย รวมมูลค่าเหลือขาย 140,900 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่มากนัก และในทางทฤษฎี หน่วยเหลือขายเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 8 เดือนจึงจะขายหมด หากไม่มีหน่วยใหม่เพิ่มในตลาด แต่ในความเป็นจริง ผู้ประกอบการต่างเปิดขายโครงการใหม่ และหน่วยใหม่เพิ่มตลอดเวลา ทั้งนี้ เป็นคอนโดฯเหลือขายอยู่ในพื้นที่กทม.มากที่สุด 293 โครงการ เหลือขาย30,500 หน่วย รองลงมาคือ นนทบุรี 28 โครงการ เหลือขาย 5,500 หน่วย สมุทรปราการ 27 โครงการ เหลือขาย 3,300 หน่วย ปทุมธานี 9 โครงการ เหลือขาย 3,200 หน่วย และนครปฐม 5 โครงการ เหลือขาย 400 หน่วย ส่วนราคาที่เหลือขายมากที่สุดคือ ระดับราคาไม่เกินหน่วยละ 2 ล้านบาทถึง 47% รองลงมาคือราคา 2-3 ล้านบาทเหลือขาย 21% ราคา 3-5 ล้านบาทเหลือขาย 17% และเกินกว่า 5 ล้านบาทเหลือขาย 15% “คอนโดฯโดยเฉลี่ยมี 80-400 หน่วย เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 800 หน่วย ถึง 70 โครงการ ส่วนโครงการขนาดเล็กไม่ถึง 80 หน่วย มี 45 โครงการ เป็นแบบ 1 ห้องนอน เหลือขาย 65% แบบสตูดิโอเหลือขาย 17% แบบ 2 ห้องนอน เหลือขาย 15% แบบ 3 ห้องนอน เหลือขาย 3% และจากหน่วยเหลือขายทั้งหมด 42,900 หน่วยดังกล่าว แยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่าเป็นหน่วยที่สร้างเสร็จแล้ว9,600 หน่วย อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 19,400 หน่วย และยังไม่ได้เริ่มสร้าง13,900 หน่วย” นอกจากการสำรวจภาคสนามสิ้นงวดกลางปี 56 นี้แล้ว ยังพบว่ามีโครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้นระหว่างเดือนก.ค.-ต.ค.อีก 78 โครงการ รวม 32,700 หน่วย โดยกทม. มีหน่วยห้องชุดเปิดขายใหม่มากที่สุด 20,000 หน่วย ปทุมธานี 5,900 หน่วย นนทบุรี 5,200 หน่วย สมุทรปราการ 1,100 หน่วย และสมุทรสาคร 600 หน่วย นายสัมมา กล่าวว่า ส่วนโครงการบ้านจัดสรรที่รอการขายมี 843 โครงการ รวม 174,800 หน่วย มีหน่วยเหลือขาย 66,900 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 274,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับการสำรวจงวด 6 เดือนก่อนหน้า มีโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้นมากในเขตรอบนอกกทม. ขณะที่ปริมณฑลไม่แตกต่างมากนัก ส่วนใหญ่เป็นทาวเฮ้าส์เหลือขายสัดส่วน 48% รองลงมาคือ บ้านจัดสรรในกลุ่มราคา 3 ล้านขึ้นไป เหลือขาย 40% บ้านแฝดเหลือขาย 9% และอาคารพาณิชย์เหลือขาย 2% ด้านระดับราคาขายหน่วยละ 3-5 ล้านบาทเหลือขายถึง 32% รองลงมาคือ มากกว่า 5 ล้านบาทเหลือขาย 22% และไม่เกิน 2 ล้านบาทเหลือขาย 26% และในทางทฤษฎี หน่วยเหลือขายเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 22 เดือนจึงจะขายหมด หากไม่มีหน่วยใหม่เพิ่มในตลาด ตัวเลขดังกล่าว ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงความต้องการซื้อเริ่มตึงตัว โดยพื้นที่ที่มีโครงการเหลือขายมากสุด คืออ.บางบัวทอง อ.ลำลูกกา และอ.เมืองสมุทรสาคร ดังนั้น จึงขอฝากเตือนผู้ประกอบการให้ระมัดระวังการเปิดโครงการใหม่ในปีหน้า เนื่องจากความต้องการเเต่ละปีจะมีไม่ถึง 80,000 หน่วย “แต่อย่างไรก็ตาม ยังคาดการณ์ว่า ภาพรวมภาคอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ จะเติบโตได้ 10% หรือ120,000 ยูนิต เนื่องจากช่วงต้นปีภาค อสังหาฯ ขยายตัวได้ดี แต่เพิ่งมาชะลอตัวลงช่วงไตรมาส 2 และ 3ที่ผ่านมานี้ ขณะที่ไตรมาส 4 มีปัจจัยทางการเมืองเข้ามากระทบ ท่ามกลางกำลังซื้อที่ลดลง จึงอาจทำให้ภาคอสังหาฯ โดยรวมของปีนี้ไม่สดใสเท่าที่ควร”

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : คอนโดมิเนียมล้นตลาดกทม.และปริมณฑล

Page 1407 of 1552:« First« 1404 1405 1406 1407 1408 1409 1410 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file