shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

นักลงทุนญี่ปุ่นไม่สะท้านม็อบสุดซอย

นายซูซุมุ อูเนโนะ ประธานคณะกรรมการหอการค้าญี่ปุ่น (เจซีซี) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (เจเทปป้า) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)ว่า นักลงทุนญี่ปุ่นยังไม่ประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมว่าจะลุกลามมากน้อยขนาดไหน แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา 2 – 3 ปี ที่มีการชุมนุมขัดแย้งรุนแรง พบว่า จะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนญี่ปุ่นที่จะชะลอตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยอยู่บ้างในระยะสั้น แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ง นักลงทุนญี่ปุ่น จะตัดสินใจ เข้ามาลงทุนตามปกติ และความขัดแย้งครั้งนี้ ยังไม่พบสัญญาณชะลอการลงทุนจากนักลงทุนญี่ปุ่น โดยปัญหาความขัดแย้งของไทย ถือเป็นบทเรียน ที่ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นเริ่มปรับตัว เรียนรู้ ปัญหาการเมืองของไทยแล้ว ทั้งนี้จากการประชุมร่วมกับบีโอไอถึงการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ มีประเด็นที่นักลงทุนญี่ปุ่นเป็นกังวลและเสนอให้บีโอไอพิจารณา คือ ไม่ต้องการให้บีโอไอปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน ที่กระทบต่อห่วงโซ่การผลิตให้หายไป เพราะเป็นจุดแข็งสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนในไทย โดยจุดยืนของหอการค้าญี่ปุ่น ยังสนับสนุนเต็มที่ต่อการกำหนดนโยบายเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศไทย สร้างอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มระดับสูง และช่วยให้ไทยมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก ในฐานะประเทศที่มีความน่าลงทุน นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการ บีโอไอ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อสถานการณ์ทางการเมืองจะมีผลกระทบเพียงใดขึ้นอยู่กับ ระดับความรุนแรงของสถานการณ์ และความต่อเนื่อง จะกินระยะเวลาสั้น หรือยาวนาน ซึ่งหากสามารถควบคุมสถานการณ์ ชุมนุมภายใต้ขอบเขตก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบมาก เป็นกังวลแต่นักลงทุนที่ยังไม่เข้าใจหรือไม่มีประสบการณ์ในการลงทุนในไทย ซึ่งอาจเกิดความวิตกกังวลและชะลอการตัดสินใจลงทุนไปบ้าง

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : นักลงทุนญี่ปุ่นไม่สะท้านม็อบสุดซอย

Posts related

 














สมอ.คุมเข้มสินค้าเพิ่ม 15 รายการ

เมื่อวันที่ 6 พ.ย. นายอุฤทธิ์ ศรีหนองโคตร เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ในปี 2557 เตรียมประกาศมาตรฐานบังคับ (มอก.) เพิ่ม 15 สินค้า มีทั้งปรับปรุงมาตรฐานเดิม และเพิ่มการควบคุมใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และมีความปลอดภัยมากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากมีผู้บริโภคร้องเรียนเข้ามาอย่างต่อเนื่องว่า สินค้าประเภทไฟฟ้า มีบางบริษัท ผลิตไม่ได้คุณภาพที่เหมาะสม เช่น ใช้งานได้ไม่กี่ครั้ง ก็ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว และบางครั้งเกิดไฟช็อต อาจส่งผลให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ สำหรับสินค้าไฟฟ้า ที่จะประกาศมาตรฐานบังคับเพิ่มเติม เช่น เต้าเสียบและเต้ารับ สำหรับใช้ในที่อยู่อาศัย และงานทั่วไปที่มีจุดประสงค์คล้ายกัน , หลอดฟลูออเรสเซนต์ขั้วเดี่ยว , หลอดฟลูออเรสเซนต์ขั้วคู่ , หลอดมีบัลลาสต์ ในตัวสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไป , มอเตอร์เหนี่ยวนำสามเฟส ซึ่งทั้งหมดจะเพิ่มในส่วนของคุณลักษณะด้านประสิทธิภาพพลังงาน รวมทั้งยังมีบัลลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ พัดลมไฟฟ้ากระแสสลับ เครื่องซักผ้า ซึ่งจะเพิ่มในส่วนของคุณลักษณะต้องการด้านความปลอดภัย และยังมีสินค้าประเภทอื่นๆ เช่น กระจกนิรภัยสำหรับรถยนต์ ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ หมวกนิรภัยสำหรับผู้ใช้ยานพาหนะ ซึ่งในส่วนของรายละเอียดมาตรฐานบังคับของแต่ละสินค้า จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหลังจากสมอ. ได้ประกาศสินค้าที่ต้องขอมอก.แล้ว ผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าสินค้านั้นๆ จะต้องมาขอดำเนินการแสดงเครื่องหมายตราสัญลักษณ์ มอก. จึงจะนำเข้าหรือจำหน่ายสินค้าดังกล่าวได้ ซึ่งหากผู้ผลิตสินค้า หรือจำหน่ายสินค้า ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายในกรณีที่ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานบังคับจะมีบทลงโทษในกรณีการทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากสินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือการนำเครื่องหมายมาตรฐานไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือนปรับตั้งแต่ 100,000 – 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบ บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้แสดงเครื่องหมาย มอก. แล้ว หลังจากนั้นสมอ. จะส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้า เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับใบอนุญาตยังรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานอสม่ำเสมอ โดยจะตรวจสอบการทำผลิตภัณฑ์ที่โรงงาน ปีละ 1 ครั้ง รวมทั้งจะเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากโรงงานที่ทำผลิตภัณฑ์ เพื่อตรวจสอบ ปีละ 1 ครั้ง และจะมีการสุ่มตรวจ โดยไม่แจ้งล่วงหน้า เพื่อให้สินค้าเป็นไปตามาตรฐาน “โดยทั่วไป สมอ. จะตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของผู้รับใบอนุญาตแต่ละรายปีละ 1 ครั้ง หากผลการตรวจแสดงว่าผู้รับใบอนุญาต สามารถรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานได้อย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องสมอ.อาจพิจารณาปรับลดจำนวนครั้งการตรวจสอบการทำและการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ในทางกลับกันหากผลการตรวจแสดงว่ามีเหตุให้เชื่อได้ว่าผู้รับใบอนุญาตไม่สามารถรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานได้อย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง สมอ.อาจพิจารณาปรับเพิ่มจำนวนครั้งการตรวจสอบการทำและการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ ตามความเหมาะสม” นายอุฤทธิ์ กล่าว.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : สมอ.คุมเข้มสินค้าเพิ่ม 15 รายการ

สศช.แนะกู้ส่งออกโค้งสุดท้ายของปี

เมื่อวันที่ 6 พ.ย. รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอมาตรการกระตุ้นการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 56 ให้ที่ประชุมครม.พิจารณา หลังจากได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) ที่จังหวัดลพบุรี โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ไปเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่ กำหนดเงื่อนไขทางภาษีและการเงินชักจูงให้ผู้ประกอบการเพิ่มยอดการผลิตฮาร์ดดิสก์ในประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวได้รับผลกระทบจากยอดการส่งออกที่ลดลง ขณะเดียวกันยังให้ไปกำหนดมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการลงทุนผลิตสินค้าทดแทนที่มีเทคโนโลยีล่าสุดในประเทศไทยด้วย ทั้งนี้สศช.ได้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลังร่วมพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา และพิจารณาหามาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงหาแนวทางส่งเสริมและสนับสนุนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตที่เคยได้รับส่งเสริมการลงทุนไปในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาการสร้างศูนย์กระจายสินค้าโดยจับคู่ระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ และจัดกิจกรรมการตลาด เช่น งานแสดงเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยตามจังหวัดชายแดนไทย รวมทั้งเจรจาขอนำรายการเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านออกจากขอบเขตรายการสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ ขณะเดียวกันยังกำหนดแนวทางอื่น เพื่อกระตุ้นการส่งออก เช่น ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายข้าวทุกช่องทางและเจรจาโดยตรงกับผู้ซื้อรายใหญ่ในต่างประเทศ รวมทั้งจัดทำข้าวถุงเพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำมาตรการลดต้นทุนการผลิตและส่งเสริมการปลูกข้าวคุณภาพดีและปลอดสารพิษ รวมทั้งประสานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อศึกษาวิธีแปรรูปข้าวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ยังให้กระทรวงพาณิชย์ให้พิจารณาส่งออกน้ำตาลไปยังตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตของอุปสงค์น้ำตาล โดยเฉพาะอินเดีย แอลจีเรีย และมาเลเซีย และให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาลในภาพรวมอย่างเป็นระบบ โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตอ้อย ,ให้กระทรวงพลังงานประสานงานกับผู้ผลิตน้ำมันเพื่อศึกษาและประมาณการกำลังการผลิตที่เหมาะสม โดยเฉพาะการผลิตเพื่อส่งออก นอกจากนี้ได้มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณายกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมสงเคราะห์ยางพารา (เงินเซส) ชั่วคราว และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการเพิ่มอุปสงค์ยางพารา ส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ และลดอุปทานยางพาราอย่างเป็นระบบ รวมทั้งประสานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อหาแนวทางนำยางในสต็อกไปเพิ่มมูลค่า และให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจให้กับผู้ซื้อยางในประเทศ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมส่งเสริมการแปรรูปยางแท่งและน้ำยางข้นเป็นยางแผ่นผสม.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : สศช.แนะกู้ส่งออกโค้งสุดท้ายของปี

Page 1454 of 1552:« First« 1451 1452 1453 1454 1455 1456 1457 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file