shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

ราคาทองคำ 21 ต.ค. 56 ปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 100 บาท

ราคาทองคำปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 100 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,850 บาท รับซื้อ 19,071.28 บาท
วันที่ 21 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09:27 น. เว็บไซต์สมาคมค้าทองคำ ประกาศปรับราคาทองคำในประเทศครั้งที่ 1 โดยเพิ่มขึ้นจากเดิม 100 บาท ทำให้ราคาปัจจุบันอยู่ที่ รูปพรรณขายบาทละ 19,850 บาท รับซื้อ 19,071.28 บาท ทองแท่งขายบาทละ 19,450 บาท รับซื้อ 19,350 บาท
ราคาทองคำและครั้งที่ปรับ ราคาทองคำปรับครั้งที่ 1  ขึ้น 100 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,850 บาท รับซื้อ 19,071.28 บาท ทองแท่งขาย 19,450 บาท รับซื้อ 19,350 บาท เวลา 09:27 น.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ราคาทองคำ 21 ต.ค. 56 ปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 100 บาท

Posts related

 














ฝันขายข้าวให้จีนปีละล้านตัน รัฐเร่งโละสต๊อกแก้ขาดทุน…


ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต้องประสบปัญหาการระบายข้าวจากโครงการรับจำนำมาตลอด เนื่องจากข้าวไทยมีราคาสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน จนสุดท้ายถูกอินเดียและเวียดนาม ตีตลาดกระเจิงแบบไม่เป็นท่า แต่หลังจากการเดินทางมาเยือนไทยของ ’นายหลี่ เค่อเฉียง“ นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 11-13 ต.ค. 56 ที่ผ่านมา ได้สร้างความหวังในการระบายข้าวให้กับรัฐบาลไทยอีกครั้ง…เพราะผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายต่างเห็นชอบร่วมกันที่จะซื้อจะขายข้าวไทยให้ได้ปีละ 1 ล้านตัน ในรูปแบบของรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือที่เรียกกันว่า ’จีทูจี“ ต้องยอมรับว่าในระยะหลัง ๆ นี้ รัฐบาลกำลังวุ่นวายกับการระบายข้าวในสต๊อกที่มีอยู่ไม่น้อยกว่า 14-15 ล้านตัน จนทำให้นายกฯ หญิงของไทย รวมถึงบรรดารัฐมนตรี ต้องทำหน้าที่ขายข้าวที่รับซื้อมาในราคาแพงเพื่อแลกกับคะแนนเสียง  เพราะการเปิดประมูลขายข้าวให้กับเอกชน ดูจะไม่ได้รับผลสำเร็จเท่าที่ควร! เพราะหลายครั้งหลายครา เอกชนแทบไม่ให้ความสนใจ

ดังนั้น! แนวทางที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น…ต้องขายแบบจีทูจี  ที่ทำได้ในหลายรูปแบบ ทั้งขายแบบตรง ๆ เพื่อรับเงินสด หรือขายด้วยการแลกเปลี่ยนสินค้าแทนเงินสด ที่เรียกกันว่าบาร์เตอร์เทรด ที่เห็นกันแล้วว่าจะสามารถล้างสต๊อกอันมโหฬารได้ เพราะหากไม่ใช้วิธีนี้ แต่ปล่อยให้การขายเป็นไปตามปกติ  ก็เชื่อได้แน่ว่า “ข้าวในโกดังของรัฐบาล” คงยากที่จะขายออก สุดท้ายข้าวไทยที่รับจำนำมาในราคาแพงจะเสื่อมคุณภาพลงเรื่อย ๆ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนจากการเสียแชมป์ในการเป็นผู้ส่งออกข้าวของไทยให้กับเพื่อนบ้านอย่างอินเดียและเวียดนาม เมื่อปี 55 ที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มที่จะเสียแชมป์เป็นปีที่ 2 ในปี 56 นี้ด้วยเช่นกัน จนทำให้บรรดานักวิชาการรวมถึงอดีตขุนคลังหลายคน ต้องออกมาตักเตือน… ให้เร่งแก้ปัญหาข้าวในสต๊อกหรือยกเลิกโครงการรับจำนำเพราะมีการประเมินทางบัญชีแล้วแค่ 2 ปีรัฐบาลขาดทุนไปแล้วกว่า 4 แสนล้านบาท หากรัฐบาลไม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบช่วยเหลือชาวนาโดยเร็ว จะทำให้ประเทศชาติยิ่งได้รับความเสียหายมากขึ้นจนอาจถึงขั้นล้ม ก่อนโครงการรับจำนำข้าวจะล้มแน่นอน อย่างไรก็ตาม การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ รวมไปถึงการทำบาร์เตอร์เทรด ที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการระบายข้าวในเวลานี้  คงหนีไม่พ้นตลาดจีน ตะวันออก และแอฟริกา โดยเฉพาะ “จีน” ที่เป็นเป้าหมายใหญ่ที่สำคัญของไทย แต่กระแสการขายข้าวจีนไม่ได้มาครึกโครมหรือเกิดขึ้นในช่วงนี้เท่านั้น  เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวที่ไทยได้พยายามออกมาบอกกับสาธารณชนว่าได้ทำสัญญาหรือได้ขายข้าวจีทูจีหลายรอบ สุดท้ายไม่เป็นความจริงจนหน้าแตกไปหลายครั้ง ตัวอย่างในอดีตที่เห็นได้ชัด คือในสมัยที่ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” เป็นรมว.พาณิชย์ ที่โหมกระแสการทำเอ็มโอยูซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับประเทศต่าง ๆ มากถึง 7.3 ล้านตัน เมื่อช่วงกลางปี 55  ที่ผ่านมา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการทำเอ็มโอยูกับจีนมากถึง 3-5 ล้านตัน   แต่สุดท้ายจีนได้ออกมายืนยันว่าไม่มีการทำสัญญาซื้อขายข้าวจากไทยแต่อย่างใด ประกอบกับข้อ มูลส่งออกข้าวไปจีนจริง ๆ ในแต่ละปีพบว่าไม่มากอย่างที่รัฐบาลแอบอ้าง โดยปี 52 มีปริมาณเพียง 328,238 ตัน,  ปี 53 ปริมาณ 264,207 ตัน, ปี 54  ปริมาณ 267,841 ตัน, ปี 55 ปริมาณ 143,082 ตัน ขณะที่ในช่วง 8 เดือนของปี 56  (ม.ค.-ส.ค.) มีการส่งออก 110,742 ตัน ซึ่งหากเทียบสถิติในช่วงของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะพบว่า การส่งออกกลับน้อยลง ที่สำคัญ…ยังได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของหลักล้านตันด้วยซ้ำไป

สุดท้ายพิษโครงการจำนำและการระบายข้าวไม่ออกทำให้ “บุญทรง” ต้องหลุดจากเก้าอี้ไปโดยปริยาย และส่ง “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” มารับไม้ต่อในการหาแนวทางระบายข้าวในสต๊อกโดยเร็ว เมื่อรัฐบาลเริ่มโหมโรงระบายข้าวรอบใหม่ให้กับจีน…จึงทำให้สังคมต่างจับจ้อง โดยเฉพาะในกรณีที่ก่อนหน้านี้ “นิวัฒน์ธำรง” ได้ระบุว่ารัฐวิสาหกิจจีนของมณฑลเฮย์หลงเจียงสนใจซื้อข้าวไทย 1.2 ล้านตันและจะทำสัญญากันภายในเดือน ต.ค.นี้ รวมไปถึงกรณีที่รัฐวิสาหกิจจีนเซ็นสัญญาซื้อขายข้าวกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย 1 ล้านตันภายใน 5 ปี หรือประมาณปีละ 2 แสนตัน รวมถึงกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นหลังจากนายกฯ จีนมาเยือนไทย ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศว่านายกฯ จีนได้สนใจซื้อข้าวไทยเพิ่มเติมอีกปีละ 1 ล้านตัน โดยเป้าหมายจะเซ็นสัญญาให้ได้ภายในเดือน ธ.ค.นี้  รวมไปถึงการบาร์เตอร์เทรด ที่จะนำข้าวในสต๊อกมาแลกรถไฟความเร็วสูง สถานการณ์ที่น่าเป็นรูปธรรมและชัดเจนมากที่สุดคือ การที่รัฐวิสาหกิจจีนเซ็นสัญญากับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย 1 ล้านตันภายใน 5 ปี หรือประมาณปีละ 2 แสนตัน ซึ่งตรงนี้เป็นของจริง เพราะเซ็นสัญญาเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้วเมื่อไม่นานนี้ ส่วนกรณีอื่น ๆ ต้องรอรัฐบาลไทยตามตื้อจีนให้ทำสัญญาเพื่อให้เกิดการซื้อขาย และจากนี้ไปคงจะได้เห็นบรรดารัฐมนตรีไทยบินไปจีนกันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะ “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ รัฐบาลมั่นใจว่าการซื้อข้าวไทยในรูปแบบจีทูจีปีละ 1 ล้านตัน ตามที่ผู้นำทั้งสองประเทศได้หารือกันไว้ โดยจะเจรจาขายข้าวให้จีนทั้งข้าวหอมมะลิ และข้าวขาว  ในราคาตลาดโลกและอย่างช้าเซ็นสัญญาได้ในปีนี้  ส่วนการขายข้าวให้กับรัฐวิสาหกิจจีนของมณฑลเฮย์หลงเจียงปริมาณ 1.2 ล้านตัน จะเซ็นสัญญาได้ภายในเดือน ต.ค.นี้  แต่ในมุมมองของบรรดาภาคเอกชนที่คร่ำหวอดอยู่กับการซื้อขายข้าวมาตลอดชีวิต กลับมองผลลัพธ์ในเรื่องนี้แบบ “ตรงกันข้าม” โดยต่างมองว่ารัฐบาลต้องการประกาศว่าข้าวไทยมีตลาดรองรับชัดเจน และที่สำคัญช่วยผลักดันราคาข้าวให้สูงขึ้นด้วย เพราะหากตลาดโลกรับรู้ว่าข้าวในสต๊อกของไทยยังมีอีกมากรับรองว่าข้าวไทยถูกกดราคาแน่นอน ขณะที่บางกลุ่มมองว่าการลงนามเอ็มโอยู… เป็นเพียงแค่กรอบและจีนไม่จำเป็นต้องซื้อข้าวตามที่ได้ลงนามไว้ก็ได้ ในทางปฏิบัติในแต่ละปีจีนจะมีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศประมาณ 5 ล้านตัน แน่นอนข้าวจากเวียดนาม มีโอกาสมากที่สุดเพราะราคาถูกและมีพรมแดนติดกัน สาเหตุที่จีนซื้อข้าวจากไทยน้อยแม้ว่าทั้งสองประเทศเตรียมลงนามขายข้าวกันหลายฉบับ ทั้งที่เป็นจริงบ้างหรือลวงบ้าง! แต่ผลที่ออกมาคือไทยส่งออกไปจีนในปริมาณน้อยไม่รู้ว่าจะได้ 1 ใน 10 ของปริมาณที่ลงนามหรือไม่ เนื่องจากทั้งสองประเทศมักจะมีปัญหาเรื่องการตกลงราคาซื้อขายโดยไทยต้องการขายแพงแต่จีนต้องการซื้อถูก สุดท้ายเสร็จเวียดนามทุกคราว สาเหตุเป็นเพราะข้าวขาวเวียดนาม มีราคาต่ำกว่าไทยประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หากเป็นข้าวหอมมะลิแม้คุณภาพไทยจะดีกว่ามาก แต่เวียดนามก็มีราคาข้าวที่ถูกกว่า 30-40% ทีเดียว ส่วนการทำบาร์เตอร์เทรดระหว่างรถไฟความเร็วสูงกับข้าวไทยนั้น แม้ทั้งสองฝ่ายจะมีการเจรจาในรายละเอียดมาบ้างแล้ว แต่ในอดีตการแลกเปลี่ยนสินค้ากับสินค้าแทนเงินสดนั้นไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะต่างตกลงราคากันไม่ได้  แต่หากดำเนินการรับรองนำข้าวในสต๊อกทั้งหมดก็ไม่เพียงพอ หรือแม้แต่นำยางพารา  มันสำปะหลัง  ข้าวโพด ปาล์มน้ำมัน และอ้อยมาผสมโรง ยังไม่เพียงพอในการแลกรถไฟความเร็วสูง เช่นกัน แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องดีแต่ก็ดูยาก… เพราะการดำเนินการต้องมีผลประโยชน์อื่น ๆ มาแลกเปลี่ยนกันด้วยไม่ใช่เพียงแค่นำสินค้ามาแลกกันเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องรถไฟความเร็วสูงที่จีนต้องการให้ไทยสร้างรถไฟความเร็วสูงจากจีน-เวียดนาม-ลาว-หนองคาย เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางก่อนไปสิ้นสุดที่สิงคโปร์ แต่โครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทของไทยรถไฟความเร็วสูงไปแค่โคราช หากไปหนองคายเพื่อเชื่อมกับลาวต้องรอเงินงวดหน้า การสร้างกระแสขายข้าวจีทูจีให้กับจีน…อาจเป็นเพียงเครื่องมือการเมืองที่ต้องการกลบข่าวข้าวในสต๊อกของรัฐบาลที่มีอยู่อีกจำนวนมาก ขณะเดียวกันอาจต้องการปั่นราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำลง เพราะสุดท้ายแล้ว…หากกระแสข่าวขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าว…ยังมีออกมาเรื่อย ๆ นั่นหมายความว่า เก้าอี้ของรัฐบาล ก็อาจสั่นคลอน!. มนัส แววันจิตร

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ฝันขายข้าวให้จีนปีละล้านตัน รัฐเร่งโละสต๊อกแก้ขาดทุน…

แนวโน้มราคาแป้งมันฯลดลง

คาดปีหน้าราคามันสำปะหลังร่วง วอนรัฐอย่าหนุนราคาสูงกว่าตลาดโลก หวั่นแข่งขันไม่ได้ ทำส่งออกวูบ
นางธิดารัตน์ รอดอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสงวนวงษ์อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาแป้งมันสำปะหลังในปี 57 คาดว่า จะลดลงอยู่ที่ 400-430 บาทต่อตัน เทียบกับปีนี้ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 450 บาทต่อตัน เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดที่เป็นวัตถุดิบ ทดแทนแป้งมันกลับมามีผลผลิตได้ตามปกติ หลังจากปีนี้เกิดปัญหาโรคพืชจนผลผลิตเสียหายในหลายประเทศ ซึ่งต้องการให้ภาครัฐระวังการกำหนดนโยบายดูแลราคามัน ฯ ไม่ให้ราคาสูงเกินไป อาจส่งผลให้ต้นทุนผู้ประกอบการสูงขึ้น และกระทบต่อการแข่งขันในตลาดโลก และสูญเสียตลาดไปให้กับประเทศคู่เข่ง
               
สำหรับราคาที่ผู้ประกอบการรับซื้อจากเกษตรกร ปัจจุบันอยู่ที่ 2.5 บาทต่อกิโลกรัม  ถือเป็นราคาที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่เริ่มมีการปลูกมันสำปะหลังมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศกัมพูชา ที่เริ่มส่งออกมันสัมปะหลังมาไทยมากขึ้น เมื่อรวมต้นทุนค่าขนส่งเข้ามา ถึงโรงงานแล้วตอนนี้ยังต่ำกว่าราคามันสำปะหลังที่ผลิตในไทย 

ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัท สงวนวงษ์ฯ  มีการผลิต 1,400 ตันต่อวัน ส่งออก 400,000  ตันต่อปี หรือเฉลี่ยคิดเป็นประมาณ 90% ของการผลิตทั้งหมด ขณะที่การผลิตทั้งประเทศของไทยมีปริมาณ 4.2 ล้านตัน แบ่งเป็นการส่งออก 3 ล้านตัน และใช้ภายในประเทศ 1.2 ล้านตัน ส่วนตลาดที่ส่งออกหลักของไทยในปีนี้ ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศจีน มีสัดส่วน 41% อินโดนีเซีย 13% ไต้หวัน 12% ที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ ซึ่งโครงสร้างนี้ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่ส่งออกไปอินโดนีเซีย 30% จีน 25% และมาเลเซีย 12% โดยสาเหตุที่จีนหันมาซื้อจากไทยเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ เนื่องจากการขาดแคลนข้าวโพดในต่างประเทศ
              
ส่วนยอดขายโดยรวมของบริษัท ฯ ปีนี้ คาดว่า จะได้ถึง 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายประมาณ 6,000 ล้านบาท เนื่องจากได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจากที่เกิดปัญหาการขาดแคลนข้าวโพด ตลอดจนสถานการณ์เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่การกลับเข้าสู่ภาวะปกติของผลผลิตข้าวโพดคงทำให้ยอดขายปีหน้าของบริษัทฯ ลดลง
               
 ทั้งนี้แนวโน้มการแข่งขันที่สูงขึ้นอาจทำให้ราคามันสัมปะหลังในระยะต่อไปไม่เปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันมากนัก และการขยายพื้นที่เพาะปลูกคงไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เพราะเกษตรกรก็มีการหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องหาทางสนับสนุนให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตต่อไร่ จากปัจจุบันที่มีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ 8 ล้านไร่ให้ผลผลิตมันสัมปะหลัง 28.7 ล้านตัน  หรือเฉลี่ย 3.6  ตันต่อไร่          

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : แนวโน้มราคาแป้งมันฯลดลง

Page 1515 of 1552:« First« 1512 1513 1514 1515 1516 1517 1518 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file