shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวไอที นวัตกรรมใหม่ๆ

ปฏิรูปการศึกษาด้วยระบบออนไลน์รับ AEC

ปัญหาด้านการศึกษาเป็นปัญหาที่สำคัญ ส่งผลให้ความคิดเห็นของคนแตกแยกในสังคม เเละเป็นต้นตอของการคอร์รัปชั่น ถือเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น หากประเทศไทยจะเดินหน้าต้องปฏิรูปการศึกษาโดยเร็ว โดยเร่งใช้ไอทีมาช่วย  อ.อรภัค สุวรรณภักดี นักวิชาการอิสระ นักเขียนหนังสือทำตลาดบนเฟซบุ๊กฉบับประยุกต์แอพพลิเคชั่น และผู้ก่อตั้งชมรมเรียนฟรีกับ เอ็มไอที โอเพ่น คอร์สแวร์ เล่าว่า ในอดีตคนส่วนมากไม่สนใจไอที การเผยเเพร่การใช้ไอที ยังคงมีอุปสรรคโดยภาพรวม ซึ่งเมื่อไม่สนใจ จะใช้ไม่เป็น ทำให้การปฏิรูปการศึกษาที่เร่งด่วนทำได้ยาก ปัจจุบัน คนเข้าสู่การสื่อสารมากขึ้นทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ ถือเป็นสื่อเร่งปฏิกิริยาความพร้อมให้มีการพัฒนาการศึกษาด้วยไอที ดังนั้น ประเทศไทยควรปฏิรูปการเมืองด้วยการศึกษา โดยเริ่มพัฒนาประเทศด้วยไอที เพื่อลดความขัดแย้งคนเมืองและคนชนบท ถือเป็นทางลัดในการพัฒนาการศึกษาไทยก่อนก้าวไกลสู่อาเซียน อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า การเรียนการสอนในต่างประเทศ มีการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้ไอทีร่วมกัน ด้วยวิธีแชต เสมือนห้องเรียนออนไลน์ มีการสนทนา ยกตัวอย่างและร่วมกันแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นลักษณะโซเชียล แชต (Social chat) หรือมีความคล้ายคลึงกับเฟซบุ๊กกรุ๊ป ส่งผลให้การสนทนา เเบบการเรียนรู้ร่วมกันได้ถูกนำมาถ่ายทอดในระบบการศึกษาเเบบออนไลน์ Online Blended Learning คือ นำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการเรียนรู้ร่วมกัน เเละทำงานร่วมกัน โดยมีห้องสนทนา ออนไลน์ (โซเชียล แชต) เป็นฟังก์ชั่นหนึ่ง ทั้งนี้ ทฤษฎีการเรียนรู้ร่วมกันจะแบ่งเป็น 2 แบบคือ การสอนแบบครูสอนนักเรียน ถ่ายทอด โดยมีครูเป็นผู้สอนอย่างเดียว  และ การสอนด้วยการเรียนรู้ร่วมกัน โดยที่มีลักษณะการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูเเละนักเรียน การเรียนรู้แบบแรกจะเน้นที่ผู้สอนในลักษณะสอนบอกเล่า จึงเกิดกระบวนการเรียนรู้กับครูผู้สอนอย่างเดียว    ในขณะที่แบบ 2 จะเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเหมาะกับการพัฒนาการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ดังนั้น ควรนำเทคโนโลยีมาประยุกต์เพื่อให้กระบวน การเรียนรู้แบบผสม โดยอิงระบบการศึกษาเเบบ Online Blended Learning เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยกันอย่างทั่วถึงระหว่างครูเเละนักเรียน รวมถึงเพื่อนในห้องเรียน  เพื่อพัฒนาการศึกษาให้นักเรียนคิดเป็น เเละคิดร่วมกัน โดยมีครูเป็นตัวกลางมากกว่าให้เป็นผู้ถ่ายทอดฝ่ายเดียว อ.อรภัค เล่าว่า หนึ่งในฟังก์ชั่นของระบบการศึกษาเเบบ Online Blended Learning คือ การนำเอกสารต่าง ๆ ของหลักสูตรรายวิชาต่าง ๆ เข้ามาอยู่ในระบบ เช่นเดียวกับ สถาบัน เอ็มไอที โอเพ่น คอร์สแวร์ ถือเป็นสถาบันที่จัดให้เรียนฟรีกว่า 2,000 วิชา แบบไม่คิดค่าใช้จ่าย ด้วยการพัฒนาการศึกษาทุกพื้นที่ทั่วโลกคืออินเทอร์เน็ต รัฐบาลสามารถขอเเปลเอกสารหลักสูตรที่ฟรีอยู่เเล้วมาใช้ในการปฏิรูปการศึกษาได้ทันที ทั้งนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยแปลหลักสูตรของเอ็มไอทีเพื่อใช้งาน แต่ก็หยุดที่จะดำเนินการต่อ ดังนั้น ส่วนตัวมองว่าประเทศไทยควรจะลงทะเบียนและใช้หลักสูตรการเรียนการสอนแบบโอเพ่น คอร์สแวร์ มาเป็น ฟังก์ชั่นหนึ่งในระบบการศึกษาเเบบ Online Blended Learning ซึ่งขณะนี้ เวียดนามหรือประเทศที่เคยล้าหลังประเทศไทยได้ลงทะเบียนและพร้อมปรับตัวกับการเรียนการสอนเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ดังนั้น หากต้องการให้ประเทศไทยมีการพัฒนา จะต้องปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง เพราะการเมืองไทยเวลานี้ เกิดจากการศึกษาเป็นพื้นฐานหลักที่ยังเป็นปัญหา นำมาซึ่งการคอร์รัปชั่น อีกทั้งครูไทยมีปัญหาการพัฒนาการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ จึงต้องนำไอทีเข้ามาพัฒนากระบวนการในการเรียนรู้ และการใช้ตรรกะที่ไม่ใช่ท่องจำอย่างเดียว เพื่อรับมือกับการเปิดเออีซี ในปี 2558 ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนในการปฏิรูปที่ต้องมาในรูปธรรม “รัฐบาลที่ผ่านมาไม่มีรัฐบาลไหนให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างจริงจัง การอนุมัติงบที่มาก ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลเอาไปใช้อย่างไรประเทศไทยถึงมีภาพรวมทางการศึกษาที่รั้งท้ายอาเซียน ดังนั้น งบประมาณไม่ได้ถูกนำไปใช้ให้ตรงจุด การศึกษาถือเป็นปัญหาหลักในการพัฒนาบุคลากรให้แข่งขันได้ในระดับโลกอีกด้วย” สำหรับนโยบายการแจกแท็บเล็ตเพื่อการศึกษา เป็นเพียงการทดลองการใช้เครื่องมือดิจิทัล ที่เป็นเพียงอุปกรณ์ แต่การนำอุปกรณ์เข้าสู่ระบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมจะสมบูรณ์ การศึกษาจะต้องต่อชิ้นส่วน (จิกซอร์) เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ร่วมกัน  โดยให้ผู้สอนตั้งกระทู้ให้เด็กมาตอบและมีการถกเถียงถึงคำตอบที่แท้จริงร่วมกัน รัฐบาลมีจุดอ่อน คือ ไม่นำแท็บเล็ตเข้าสู่กระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ที่ได้ประสิทธิภาพจริงจัง ดังนั้น ประเทศไทยควรมีศูนย์กลาง (Hub) ที่เป็นศูนย์วิจัยการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีแห่งชาติ ส่วนความเหลื่อมล้ำกลุ่มชนบท แต่ละจังหวัดควรมีศูนย์คอมพิวเตอร์แต่ละจังหวัด เพื่อให้เข้าถึงสื่อการเรียนการสอนที่ครบวงจร   การแจกแท็บเล็ตเป็นเรื่องที่ดี หากทำครบวงจร หากไม่มีการนำอุปกรณ์มาต่อยอดการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ อุปกรณ์ดังกล่าว ก็เป็นเพียงแค่การสืบค้นข้อมูลซึ่งทำได้จากคอมพิวเตอร์เช่นกัน. กัญณัฏฐ์ บุตรดี kanyanat25@gmail.com

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ปฏิรูปการศึกษาด้วยระบบออนไลน์รับ AEC

Posts related

 














โลกดิจิทัลยุคใหม่ไร้หน้าจอจำกัด – รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี

โดยที่แทบจะไม่รู้ตัวเลยนะครับว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทุกวันนี้ชีวิตของผมและคุณผู้อ่านคอลัมน์วันพุธของผมหลายคน ถูกจำกัดให้จ้องมองอยู่แต่ภายในกรอบอิเล็กทรอนิกส์สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ตั้งแต่จอมือถือและแท็บเล็ตเวลาอ่านข่าว จอคอมพิวเตอร์ขณะทำงาน และจอโทรทัศน์ในยามพักผ่อนกับครอบครัว แต่จนถึงวันนี้โลกดิจิทัลยังคงถูกปิดกั้นให้เป็นนามธรรม ให้มีตัวตนอยู่ได้เฉพาะในจออิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ไม่สามารถที่จะกระโดดออกมานอกจอเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของผนังห้อง อยู่บนโต๊ะทำงาน หรือ เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราอย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้ แต่คุณผู้อ่านทราบไหมครับว่าเส้นแบ่งระหว่างโลกดิจิทัลกับโลกแห่งความเป็นจริงนี้กำลังจะเลือนหายไป ด้วยความช่วยเหลือจากอุปกรณ์ที่หลาย ๆ คนก็คงจะรู้จักกันดี ซึ่งก็คือโปรเจคเตอร์หรือเครื่องฉายภาพนั่นเองครับ ที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้ไม่ใช่เฉพาะโปรเจคเตอร์ตัวยักษ์ที่แขวนกันอยู่ตามห้องประชุมนะครับ แต่หมายถึงโปรเจคเตอร์ตัวเล็ก ๆ ที่เดี๋ยวนี้มีให้เลือกซื้อหากันมากมายและก็ถูกฝังอยู่ในอุปกรณ์ขนาดเล็กหลายอย่าง เช่น สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy Beam เป็นต้น โดยผลการสำรวจตลาดจาก Markets and Markets ของสหรัฐอเมริกา พบว่าภายในปีค.ศ. 2014 นี้น่าจะมีโปรเจคเตอร์ขนาดเล็กหรืออุปกรณ์ขนาดเล็กฝังโปรเจคเตอร์อยู่ในท้องตลาดถึง 39 ล้านเครื่องเลยล่ะครับ เพียงแค่เราใช้โปรเจคเตอร์เล็ก ๆ เหล่านี้ฉายภาพออกมา ข้อมูลในโลกดิจิทัลก็สามารถโดดออกมาเนียนอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งของรอบตัวเราได้แล้ว แต่เพียงแค่นี้มันยังไม่พอครับ ในยุคที่อุปกรณ์อะไร ๆ ก็ฉลาดไปเสียหมด โปรเจคเตอร์เองก็ต้องฉลาดเป็นสมาร์ทโปรเจคเตอร์กับเขาด้วย ไอเดียของสมาร์ทโปรเจคเตอร์ขนาดเล็กนี้เปิดตัวอย่างโด่งดังไปทั่วโลกเมื่อปีค.ศ. 2009 โดยนาย Pranav Mistry ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วิจัยของ Samsung ในสหรัฐอเมริกา แต่ย้อนไปเมื่อปีค.ศ. 2009 เขายังเป็นเพียงนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัย MIT ในสหรัฐอเมริกาที่นำเสนอโปรเจคชื่อ “SixthSense” แปลเป็นไทยว่า “สัมผัสที่หก” โปรเจคนี้อาศัยเพียงแค่โปรเจคเตอร์และกล้องเว็บแคมขนาดเล็กอย่างละตัว เพื่อแปลงให้พื้นผิวรอบตัว แม้แต่ฝ่ามือของเราเองกลายเป็นเสมือนหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ระบบสัมผัสได้ แสดงภาพได้และยังกดปุ่มที่ฉายออกมาเพื่อสั่งงานได้ด้วย โดยที่แน่นอนครับ ว่าไม่มีการผ่าตัดฝังชิพหรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ ลงในฝ่ามือทั้งสิ้น โปรเจคสัมผัสที่หกนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นครับ มีโปรเจคอีกมากมายที่นำเสนอประโยชน์ของโปรเจคเตอร์ฉลาดขนาดเล็กนี้ในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างน่าสนใจ ทำให้ช่องว่างระหว่างวัตถุดิจิทัลและวัตถุจริงที่จับต้องได้ลดแคบลงเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น โปรเจค ipProjector จากมหาวิทยาลัยโตเกียวที่นำภาพโปสเตอร์หรือแผ่นพับเก่าที่ข้อมูลล้าสมัยแล้วกลับมาใช้ใหม่ โดยฉายข่าวสารล่าสุดให้เคลื่อนไหวอัพเดตลงบนพื้นผิวโปสเตอร์ส่วนที่ยังว่างอยู่ หรือล่าสุดในปีค.ศ. 2013 โปรเจคชื่อ HideOut ที่เป็นความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์ วอลท์ดิสนีย์ และมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน (CMU) ของสหรัฐอเมริกา ได้ใช้หมึกพิเศษที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าพิมพ์เครื่องหมายพิเศษไว้บนหนังสือนิทานและเกมส์กระดาน ทำให้มันสามารถกลายเป็นเวทีที่ตัวละครสามมิติที่ฉายจากโปรเจคเตอร์ขนาดเล็กสามารถออกมาโลดแล่นเล่าเรื่องราวและเล่นเดินเกมส์ให้เด็ก ๆ ดูได้ เหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์ที่มนุษย์เราคิดค้นขึ้นมาเพื่อหลอมรวมโลกดิจิทัลให้เข้ากับสิ่งของในชีวิตประจำวันเรา จนวันนึงเราอาจจะถึงกับแยกไม่ออกเลยล่ะครับว่าที่เห็นอยู่นี้ อันไหนคือดิจิทัล อันไหนคือของจริง สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นจากโปรเจคเตอร์ฉลาดเหล่านี้คือ ความพยายามในการแสวงจุดร่วมและสงวนจุดต่าง ไม่ใช่การพยายามเอาชนะและแทนที่ทุกสิ่งด้วยดิจิทัล แต่เป็นการอยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยนำข้อดีมาเสริมข้อด้อยของกันและกัน แม้โลกดิจิทัลจะสำคัญมากแค่ไหน แต่มนุษย์เราสุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมามีชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอยู่ดี คุณผู้อ่านว่าจริงไหมครับ .   ผศ.ดร.ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต  chutisant.k@rsu.ac.th         

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : โลกดิจิทัลยุคใหม่ไร้หน้าจอจำกัด – รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี

“เอไอเอส” เปิดโครงการสตาร์ทอัพปี 3 หวังสร้างผู้ประกอบการดิจิทัลหน้าใหม่

 วันนี้(18 ก.พ.) นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล  บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอสได้สานต่อการสนับสนุนผู้ประกอบการหน้าใหม่ ด้วยการจัดโครงการ เอไอเอส เดอะ สตาร์ทอัพ 2014(AIS The StartUp 2014) ในธีม Growing with Partnership โดยมีเป้าหมาย คือ กลุ่มนักคิด นักพัฒนา หรือผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีผลิตภัณฑ์หรือผลงานด้านดิจิทัลที่พร้อมจะต่อยอดธุรกิจไปสู่ตลาดได้จริง โดยรูปแบบการจัดงานในปีที่ 3 นี้ ได้แบ่งแยกหมวดหมู่การประกวดเป็น 3 ประเภท คือ    1.หมวดออนไลน์( Online) และดิจิทัล คอนเทนต์( Digital Content)  ที่มีตลาดเป็นผู้ใช้บริการเป็นวงกว้าง และมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนเช่น โมบายออฟ ดิจิทัล คอนเทนต์ ที่ใช้งานผ่านอุปกรณ์ดิจิตอล ทั้งคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์สื่อสารต่างๆ 2.หมวด คอร์ปอเรต โซลูชั่น( Corporate Solution) ที่ช่วยในการสนับสนุน หรือจัดการองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีลูกค้าเป้าหมายเป็นองค์กร ห้างร้านต่างๆ และ3.หมวดโซเซียล บิสซิเนส( Social Business) มีผลิตภัณฑ์หรือบริการ และเป้าหมายหลักเป็นไปเพื่อสร้างสรรค์สังคม และมีโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นนำกำไรไปใช้ในการแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาสังคมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง    “เอไอเอส สตาร์ทอัพ ถือเป็นโครงการสตาร์ทอัพแรกๆ ในเมืองไทย ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมา สามารถสร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่ ที่เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับเอไอเอสหลายรายและพัฒนา แอพพลิเคชั่นและบริการออกมาให้บริการกับผู้ใช้มือถือเป็นจำนวนมาก อาทิ ทีม ShopSpot, Noonswoon, the Trip Packer, Buzzebees, FOURLEAF ฯลฯ”     นายปรัธนา กล่าวต่อว่า วงการสตาร์ทอัพในภูมิภาคอาเซียนขณะนี้ถือว่าเป็นที่สนใจของกลุ่มนักลงทุนที่พร้อมจะเข้ามาให้เงินทุนสนับสนุน ส่วนในเมืองไทยถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น และเป็นที่รู้ในวงกว้างเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่การมีเครือข่าย 3 จี และผู้ให้บริการพร้อมที่จะขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ  ประกอบกับราคาสมาร์ทโฟนถูกลงจะทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการคอนเทนต์และแอพพลิเคชั่นได้เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ตลาดมีการเติบโตเพิ่มขึ้นด้วยอย่างแน่นอน โดยทางเอไอเอสพร้อมจะสนับสนุน ผู้ชนะเลิศในโครงการทั้งด้านทั้งเทคโนโลยี กลยุทธ์เทคนิคทางการตลาด ช่องทางการเข้าถึงลูกค้าเอไอเอสที่มีกว่า 41 ล้านรายในปัจจุบัน และผลักดันสู่กลุ่มลูกค้าในระดับภูมิภาคผ่านทาง SingTel Groupที่มีฐานลูกค้ารวมกว่า 500ล้านรายด้วย    ด้านนายไพโรจน์ ไววานิชกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริการเสริม เอไอเอส กล่าวว่า  ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการในปีนี้สามารถส่งผลงานเป็นวิดีโอพรีเซนเตชั่น ความยาวไม่เกิน 3 นาที นำเสนอแนวคิดทางธุรกิจ, แผนการดำเนินธุรกิจ, วิธีการใช้งาน, การสร้างรายได้, กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงประโยชน์ที่ลูกค้าเอไอเอสจะได้รับ โดยเข้ามากรอกใบสมัครที่ www.ais.co.th/thestartup2014 พร้อมแนบยูอาร์แอล( URL) ของวีดีโอมาด้วย ตั้งแต่วันนี้ – 23 มี.ค.57 โดยผู้สมัครจะเป็นบุคคลหรือบริษัท ชาวไทยหรือต่างชาติก็ได้ และสามารถส่งผลงานได้มากกว่า 1 ผลงาน และจะประกาศผลงานที่ได้เข้ารอบสุดท้ายในวันที่ 29 มี.ค.57 เพื่อให้ผู้ที่เข้ารอบนำเสนอผลงานต่อหน้าคณะกรรมการ ในวันที่ 8-10 เม.ย.57 และจะประกาศผลรางวัลชนะเลิศพร้อมรับมอบรางวัลในวันที่ 21 เม.ย.57 นี้.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : “เอไอเอส” เปิดโครงการสตาร์ทอัพปี 3 หวังสร้างผู้ประกอบการดิจิทัลหน้าใหม่

Page 547 of 805:« First« 544 545 546 547 548 549 550 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file