shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวไอที นวัตกรรมใหม่ๆ

เพื่อนในเฟซบุ๊ก สู่สังคมแห่งมิตรภาพ – รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี

ถ้าเป็นเมื่อก่อนการจะเช็คเรตติ้งว่ามีคนรู้จักเราเยอะขนาดไหน อาจจะวัดเป็นตัวเลขออกมาให้แม่นยำได้ค่อนข้างยาก หรือหากจะนับจำนวนเพื่อนที่เรามี ก็คงต้องมานั่งไล่ว่าจะนับคนไหนเป็นเพื่อนเราได้บ้างนะ คนนี้เพื่อนของเพื่อนเรา คนนั้นเพื่อนของแฟนเรา คนโน้นเพื่อนของคุณแม่เรา เรียกว่าไม่ง่ายเลยนะครับที่จะนับออกมาเป็นตัวเลข เป็นข้อมูลเชิงปริมาณที่เอาไปอ้างอิงทำอะไรต่อได้ง่าย แต่ปัจจุบันเมื่อโลกเราเปลี่ยนแปลงไป มีเทคโนโลยี มีอินเทอร์เน็ต มีโซเชียลมีเดียเข้ามา ก็เกิดหนทางที่ช่วยให้เราสามารถนับจำนวนเพื่อนได้ง่ายขึ้น ซึ่งหนึ่งในหนทางนั้นก็คือนับจากจำนวนเพื่อนในโซเชียลมีเดียนั่นเอง บางคนมีเพื่อนในโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กมากถึงห้าพันคน แต่ถ้าถามจริง ๆ ว่าเคยเจอคนทั้งห้าพันนั้นทุกคนเลยหรือเปล่า ผมเชื่อเลยครับว่าถ้าใครมีเพื่อนมากขนาดห้าพันคน อย่างมากที่สุดก็คือเขารู้จักคุณ แต่คุณอาจไม่รู้จักเขา หรืออาจไม่เคยแม้แต่จะเจอตัวจริงของเขาเลยสักครั้ง ที่สหรัฐอเมริกาเลยมีคนใช้ไอเดียตรงนี้ล่ะครับ มาทำรายการทางอินเทอร์เน็ตชื่อว่า Real Life Facebook ที่จะทำการบุกบ้านเยี่ยมเพื่อนในเฟซบุ๊ก โดยหาที่อยู่ของเพื่อน ๆ จากการเช็คอินที่เจ้าของเฟซบุ๊กเหล่านั้นได้ลงเอาไว้ แล้วก็ลงมือเดินทางไปหาเพื่อนคนนั้นถึงหน้าบ้านแบบไม่ให้ได้ตั้งตัวกันเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นเซอร์ไพรส์เสียยิ่งกว่าเซอร์ไพรส์อีกครับ เพราะฉะนั้นคุณผู้อ่านใครที่เคยลงที่อยู่บ้านตัวเองเวลาเช็คอินก็ระวังไว้นะครับ วันนึงอาจมีคนมาเซอร์ไพรส์คุณถึงบ้านตามแบบรายการนี้ก็เป็นได้ จุดเริ่มต้นของรายการนี้มาจากนักแสดงชาวอเมริกันนายหนึ่งนามว่า เกร็ก เบนสัน (Greg Benson) ที่เกิดไอเดียสนุก ๆ อยากลองไปทักทายบรรดาเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊กที่ไม่เคยเจอหน้าค่าตากันมาก่อน พอคิดได้แล้วก็ต้องลงมือทำจริงใช่ไหมล่ะครับ เขาจึงจัดการเปิดหาที่อยู่ดูแอดเดรสของเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊กเลยครับ ว่าใครพักอยู่ที่ไหนบ้าง จากนั้นก็ออกเดินทางไปเยี่ยมเยือนบรรดาเพื่อน ๆ ออนไลน์กันถึงหน้าบ้านโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้ากันเลยสักคำ โดยบ้านเป้าหมายแรกที่นายเกร็กไปคือบ้านของนายไบรอัน รอดด้า (Brian Rodda) หนึ่งในเพื่อนเฟซบุ๊กที่นายเกร็กเองก็ไม่ได้เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนเลยแม้สักครั้ง พอไปถึงบ้านแล้ว ก็ไม่ได้แค่ทักทายฮัลโหลเซย์ไฮสองสามคำแล้วกลับนะครับ แต่นายเกร็กยังเนียนชวนคุยต่อกับเพื่อนที่เพิ่งจะเคยเจอหน้ากัน ประหนึ่งว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานนับปี ชวนกันเดินทัวร์รอบบ้าน ชวนกันเล่นเกมส์ เอารูปของเพื่อนในเฟซบุ๊กมาให้ดูแล้วขอให้ทำท่าแบบในรูปบ้างก็มี แต่แน่นอนครับว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่ยินดีจะต้อนรับคนแปลกหน้าจากไหนก็ไม่รู้ให้เข้ามาในบ้าน บางบ้านที่นายเกร็กไปหาก็แสดงท่าทีที่ไม่ค่อยยินดีสักเท่าไร บางรายก็ปฏิเสธไม่ยอมให้เข้าบ้านเลยก็มี สุดท้ายนายเกร็ก เลยต้องมากด “Unfriend” เพื่อนคนนั้นออกจากเฟซบุ๊กไป แต่สำหรับเพื่อนคนไหนที่ยินดีต้อนรับและยอมเป็นเพื่อนกับเขา นายเกร็กก็จะถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแล้วโพสลงเฟซบุ๊ก ประกาศอย่างเป็นทางว่า “Facebook Friend Certified” เพื่อยืนยันว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊กจริง ๆ คลิปวิดิโอรายการนี้ ได้รับความนิยมอย่างมากครับ ไม่ใช่เฉพาะในอเมริกา แต่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยมีคนเข้าชมทางเว็บไซต์ยูทูปมากกว่าสองล้านครั้งและมีคนกดไลค์ (Like) มากกว่าสองหมื่นสี่พันไลค์ ผมเองพอดูรายการนี้เสร็จก็ยอมรับครับว่าแอบอมยิ้มอยู่ในใจเหมือนกัน ว่ามนุษย์เราพร้อมจะสร้างมิตรภาพใหม่ ๆ แม้แต่คนที่อาจเพิ่งเจอกันครั้งแรก เรียกว่า มีความรู้สึกที่อยากจะยื่นมือเข้าไปสานต่อและส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้ขยายตัวไปได้มากขึ้นเรื่อย ๆ มันทำให้ผมคิดไกลออกไปอีกว่า มนุษย์เราบนโลกไม่ว่าจะไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยปฏิสัมพันธ์กัน ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แต่ถ้าวันหนึ่งเราเห็นเขาล้มลงบนพื้นถนน ผมเชื่อว่ามนุษย์เราลึก ๆ ก็จะมีความรู้สึกแห่งมิตรภาพที่อยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งบางครั้งคนผู้นั้นอาจจะไม่ใช่คนในครอบครัวของเรา ไม่ใช่คนมีฐานะทางการเงินเหมือนกับเรา หรือไม่ได้มีความเชื่อทางการเมืองเหมือนกับเรา แต่สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่ามิตรภาพของความเป็นมนุษย์ของพวกเราก็เป็นหนึ่งเดียว .  ผศ.ดร.ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)  วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต chutisant.k@rsu.ac.th

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เพื่อนในเฟซบุ๊ก สู่สังคมแห่งมิตรภาพ – รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี

Posts related

 














สงครามไซเบอร์ ตัวแปรปฏิรูปสื่อ?

ปัจจุบัน การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค ถือว่ามีบทบาทมาก จะเห็นได้จากการโพส แชร์ ข้อคิดเห็น ของกลุ่มนักการเมือง ถือเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์และสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดที่สุด อ.อรภัค สุวรรณภักดี ที่ปรึกษาโซเชียลมีเดีย กระทรวงการต่างประเทศ เล่าว่า สงครามไซเบอร์ ถือว่ามีบทบาทสำคัญในขณะนี้ อย่างเหตุการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน เริ่มขึ้นจากพรบ.นิรโทษกรรม ถือว่าเริ่มต้นมาจาก “โซเชียลเน็ตเวิร์ค” โดยเฉพาะเฟซบุ๊คที่มีการแชร์ต่อๆ กันของคนไทยที่ใช้ราว16ล้านคน ส่วนยอดการใช้ไลน์ในไทยไม่ต่ำกว่า 18 ล้านบัญชี เป็นลำดับ 2 รองจากญี่ปุ่น โดยกลุ่มที่สนับสนุน กปปส.ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ ใช้เฟสบุ๊ค และไลน์ เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสาร และเมื่อรวมกับบลูสกาย คอยโจมตีรัฐบาล ถือเป็นการปลุกกระแสให้คนที่ไม่เห็นด้วยออกมาชุมนุม มีการกระจายข่าวต่อๆ กันไป จากจุดเริ่มต้นการยกเลิกพรบ.นิรโทษกรรม กลายเป็นการโค่นล้มระบอบทักษิณ ทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีบทบาทต่อสงครามไซเบอร์ ทั้งนี้ ความเสียเปรียบของฝ่ายเสื้อเเดงคือ เเกนนำไม่ค่อยใช้เทคโนโลยี เเละ ประชาชนที่มา ก็ไม่ใช้มากเท่ากับอีกกลุ่ม ทำให้ข้อมูลบางอย่างไม่ได้รับการเผยเเพร่อย่างทั่วถึงในสื่อออนไลน์ ถือเป็นจุดอ่อนทางออนไลน์ เเต่มีข้อได้เปรียบ เรื่องช่องวิทยุชุมชน ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบคนในประเทศกว่า60ล้านคน เมื่อเทียบสัดส่วนของคนที่เล่นเฟสบุ๊คถือว่าน้อยมาก โดยสถิติ การติดตามเฟสบุ๊คฝ่ายรัฐบาลอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ มีสมาชิกติดตามสูงสุดที่ 1,894,226 คน นายพานทองแท้ ชินวัตร อยู่ที่ 1,722,170 คน ในขณะที่ฝ่ายค้านอย่าง นายสุเทพ เทิอกสุบรรณ อยู่ที่ 1,040,708 คน ส่วน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ที่ 1,658,148 คน ซึ่งโดยภาพรวมเเม้นายกฯและพานทองเเท้จะมีคนติดตามมาก แต่ความเสียหายจากเรื่องจำนำข้าว เเละ การวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย มีผลให้เกิดการเเชร์ต่อในจำนวนที่มากๆ ดังนั้น เมื่อเทียบสัดส่วนของคนที่เล่นถือว่าน้อยมาก แต่การชุมนุมที่มีมากขึ้นมาจากสื่อออนไลน์ อย่าง เฟซบุ๊ค รวมกับช่องบลูสกายและการที่ นายสุเทพ ออนทัวร์ ปลุกระดมให้แต่ละจังหวัดออกมาแสดงจุดยืน เหมือนการจัดอีเว้นท์ของ กปปส. ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลมีปัญหาประเด็นทางนโยบายต่างๆ ที่ไม่ได้มีการชี้เเจงรวมถึงพรบ.นิรโทษกรรมจึงเป็นเหตุให้มีการเเชร์ข้อมูลหนักมากขึ้น อีกทั้ง นักวิชาการ สื่อมวลชนเเต่ละค่าย บุคคลที่มีชื่อเสียง ดารา ออกมาเเชร์เเบบถล่มทะลายทำให้เกิดการเเชร์เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ กปปส.เสนอเรื่องการจำนำข้าว คนส่วนใหญ่ของประเทศคือชาวนา ซึ่งไม่ว่าจะมีการแชร์หรือไม่ ถ้าไม่มีผลกระทบต่อชาวนาจริงๆ จะไม่มีผลอะไรมากนัก เพราะชาวนาไม่ได้รับสื่อออนไลน์ นอกจากได้รับสื่อทางอื่น อาทิ วิทยุ ทีวี หรือ ผลกระทบจากประสบการณ์จริงของเขาเอง ในส่วนของการใช้ Hashtag (#) (แฮชแท็ก) แสดงความคิดเห็นของคนกลุ่มเดียวกัน เมื่อมีการแสดงความคิดเห็นและติดแฮชแท็ก จะทำให้การเข้าถึงข้อมูลของกลุ่มเดียวกันมีมากขึ้น ต่างจากเสื้อแดงที่ใช้เทคโนโลยีทางด้านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คน้อยมาก หรือไม่ก็ใช้แต่ในกลุ่มของฝั่งเสื้อแดงเอง โดยแฮชแท็ก ที่กลุ่ม กปปส.นิยมใช้ อาทิ #bkkshutdown #bangkokshutdown #shutdownBKK #SuthepTourLiveinBKK2014 โดยใช้ผ่านทาง เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ในขณะที่ไลน์ กรุ๊ป จะใช้ส่งข้อความเฉพาะกลุ่มที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน “ถ้าไม่มองว่าใครถูกใครผิดแต่มองจากวิธีการของแต่ละฝ่ายที่ใช้ จะเห็นว่า เสื้อแดงใช้วิธีกระจายข่าวประชาสัมพันธ์ทางวิทยุชุมชนหรือการเกณฑ์คนจากต่างจังหวัด ส่วนกปปส.ใช้วิธีเชิงการตลาดและประชาสัมพันธ์ ซึ่งเมื่อเทียบกับ3-4ปีที่แล้วดูหมือนว่า เสื้อแดงจะใช้สื่อทางออนไลน์เยอะกว่า เช่น การปล่อยคลิป และการเปิดเว็บไซต์ หรือ ชุมชนออนไลน์ ผนวกกับวิทยุชุมชน ในยุคนั้น 3-5 ปีที่เเล้ว เฟสบุ๊ค เเละ ไลน์ไม่ได้นำมาใช้ในสงครามไซเบอร์เท่ากับยุคปัจจุบัน และตอนนั้นยังไม่เกิด กปปส. มีเเต่เสื้อเหลืองซึ่งในการใช้งานอดีตจะเข้าถึงสื่อออนไลน์น้อยกว่า เสื้อเเดง” สมัยก่อนข้อมูลที่อยากรู้ ต้องใช้เวลาค้นหา แต่ปัจจุบันข้อมูลเข้ามาหาเราง่ายมาก ทั้งเฟสบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ ยูทูป และจากการที่สื่อบางสื่อเลือกข้าง มีการเบี่ยงเบนประเด็น ดังนั้น คนจึงค้นหาข้อมูลเองทางสื่อออนไลน์ ต่อไปสงครามไซเบอร์จะปฎิรูปสื่อไปในตัว เมื่อมีการแชร์ข่าวโดยไม่มีตัวกรอง ทำให้เกิดปัญหาเพราะบางสื่อนำคลิปที่ยังไม่มีการกรองข้อมูลไปนำเสนอ ทำให้ทุกคนต้องหาความรู้ไปในตัวเพราะมีผลกระทบต่อทุกคน “ลักษณะนิสัยของคนไทยคือลักษณะพวกพ้อง ถ้าใครคิดไม่เหมือนตน จะเลิกเป็นเพื่อนไปโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้ออกไปชุมนุมเพิ่มขึ้นโดยกระตุ้นด้วยข้อมูลสร้างความเกลียดชังกันเองในเเต่ละกลุ่ม แต่โครงสร้างจริงๆ ของโซเชียลเน็ตเวิร์คต้องการให้คนเป็นเพื่อนกัน ให้ติดตามกัน” ในส่วนของการแชร์ข่าว จะแชร์แต่ฝ่ายตนเองและไม่รับข่าวของอีกฝ่าย และจะไม่ทราบเรื่องข่าวของอีกฝ่าย เพราะทนไม่ได้ หรือ อคติทำให้อ่านไม่ครบ เเละ เลือกเฉพาะข้อมูลที่อยากบริโภค เมื่อเเชร์ต่อไปเรื่อย ทำให้เกิดความขัดแย้งบานปลาย เเละ ทำให้เกิดสังคมที่หาความสุขไม่ได้ ทั้งนี้ อยากฝากในเรื่องของการแชร์ข้อมูล ควรจะแชร์จากเจ้าของข้อมูลหรือแหล่งข่าวที่ได้รับการยอมรับ แต่ต้องดูว่าเนื้อหามีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ยอมรับว่าการแชร์ข่าวปัจจุบันยาก ต่อให้คนมีวิจารณญาณมากแค่ไหนก็ตัดสินใจลำบาก บางสื่อเองก็ไม่มีวิจารณญาณมากพอ ในตัวบุคคลเองก็ไม่แปลกที่จะมีการเลือกข้าง ดังนั้น ควรจะแยกบทบาทงานให้ออกด้วย ดังนั้น การที่ทั้ง 2 ฝ่าย อยากให้ข้อมูลมีความครบถ้วน ควรใช้เฮชแท็กที่อีกฝ่ายใช้ ถือเป็นการชี้แจงข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้ อย่างไรก็ตาม ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกวิธี เเละ เปิดช่องทางความรู้ใหม่ๆให้กับชาวบ้านต่างจังหวัดเพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยเท่าเทียมกัน ทุกวันนี้ เรามีขยะออนไลน์เกิดขึ้นมากมายในทุกซอกมุมซึ่งล้วนจริงบ้างไม่จริง หากเเชร์ต่อกันไปมากๆ อาจเกิดเป็นผลร้ายกับสังคม หากสื่อหลัก เเละ ผู้เกี่ยวข้อง ต้องการให้สังคมพัฒนา ควรนำเสนอข้อมูลที่เป็นกลาง เเละ เป็นจริงเเละ พิสูจน์เเล้วว่าจริง เเละ เลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม เพื่อลดปัญหาสงครามที่โอกาสเกิดในไทย กัญณัฏฐ์ บุตรดี Kanyanat25@gmail.com

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : สงครามไซเบอร์ ตัวแปรปฏิรูปสื่อ?

กทค.หวั่นลูกค้าคลื่น1800 ย้ายค่ายไม่ทันกำหนด

วันนี้(28 ม.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน ผู้อำนวยการกลุ่มงานวิชาการและจัดสรรทรัพยากรโทรคมนาคม ในคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) กล่าวภายหลังการประชุมบอร์ด กทค.ว่า ที่ประชุมอยู่ระหว่างทำหนังสือส่งให้บริษัท ดิจิตอล โฟน จำกัด หรือ ดีพีซี และบริษัท ทรูมูฟ จำกัด ให้แจ้งเลขหมายผู้ใช้บริการคงเหลือในคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ที่ได้หมดสัญญาสัมปทานไปแล้วเมื่อเดือน ก.ย.56 เพื่อรายงานยอดผู้ใช้งานจริงที่อยู่ในระบบของทั้ง 2 รายสำหรับยอดเลขหมายผู้ใช้บริการคงเหลือล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.56 ของดีพีซี อยู่ที่ 19,710 หมายเลข ส่วนระบบทรูมูฟ รายงานเมื่อวันที่ 30 พ.ย.56 แบ่งเป็นรายเดือน (โพสเพด) มียอดคงเหลือ73,000 เลขหมาย ในขณะที่ระบบเติมเงินคงเหลือประมาณ 11 ล้านเลขหมาย ซึ่งทรูมูฟอยู่ระหว่างขั้นตอนการโอนย้ายในบริการคงสิทธิเลขหมายอีกประมาณ 500,000 เลขหมาย อย่างไรก็ตาม ในการโอนย้ายที่เริ่มตั้งแต่สิ้นสุดสัมปทานในเดือน ก.ย.56 จนถึงขณะนี้นั้น ถือว่ายังล่าช้ามากโดยเหลือเวลาโอนย้ายเลขหมายอีกประมาณ 7 เดือนเท่านั้นโดยทรูมูฟ ได้รายงานว่าติดขัดโดยเฉพาะกรณีที่ไม่สามารถติดต่อผู้ใช้บริการที่คงค้างในระบบได้เพราะส่วนใหญ่เป็นระบบเติมเงินที่ไม่ได้ลงทะเบียนจึงไม่มีข้อมูลในการติดต่อ“กทค.ได้เร่งให้ผู้ให้บริการทั้ง 2 ราย ดำเนินการโอนย้ายเลขหมายให้เร็วขึ้น รวมทั้ง ให้ส่งข้อความ(เอสเอ็มเอส) ไปยังเลขหมายที่คงเหลือในระบบเพิ่มขึ้นเป็น 3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อให้ประชาชนรับทราบและเร่งโอนย้ายออกจากระบบก่อนสิ้นสุดมาตรการเยียวยา 1 ปี ซึ่ง เมื่อ กทค.ทราบว่าปัจจุบันนี้ ยอดการใช้งานลูกค้าทั้ง 2 ราย มีการใช้งานจริงเท่าไหร่ และไม่ได้มีการใช้งานจริงเท่าไหร่ การดำเนินการโอนย้ายเลขหมายจะรวดเร็วขึ้น”นายสุทธิศักดิ์ กล่าว

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : กทค.หวั่นลูกค้าคลื่น1800 ย้ายค่ายไม่ทันกำหนด

Page 580 of 805:« First« 577 578 579 580 581 582 583 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file