shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

อนาคตตลาดทองคำหลังเออีซี – เออีซีกับ ม.หอการค้าไทย


ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ที่หลายคนหลายฝ่ายต่างให้ความสนใจเพราะจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหลาย ๆ อุตสาหกรรม แม้ว่าในหลายอุตสาหกรรมไทยจะเสียเปรียบ เพราะมีต้นทุนการผลิตที่แพงและผู้ประกอบการอาจไม่มีความพร้อม แต่ก็มีอีกหลายอุตสาหกรรมที่ไทยมีความได้เปรียบ เพราะมีความเป็นสากลจนเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก โดยเรื่องนี้ “กมลธัญ พรไพศาลวิจิตร” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกในรายการ “เศรษฐกิจติดจอ” ทางเดลินิวส์ทีวีเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า  ตลาดทองคำของไทยในปัจจุบันถือเป็นตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน สถิติการนำเข้าทองคำปีที่ผ่านมา ไทยนำเข้าทองคำสูงเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย รองจากจีน และอินเดีย อีกทั้งเป็นผู้นำเข้าทองคำสูงสุดที่ 6 ของโลกอีกด้วย ขณะที่ด้านคุณภาพ ทองคำไทยยังได้รับการยอมรับในอาเซียนว่าเป็นทองคำที่มีคุณภาพสูงสุด เพราะมีความบริสุทธิ์ของเนื้อทองคำถึง 96.5% หรือ 23 เค มากกว่าชาติอื่นในอาเซียนที่มีทองคำบริสุทธิ์เพียง 92% หรือเท่ากับทอง 21 เค เท่านั้น ดังนั้นในแง่ทั้งปริมาณและคุณภาพ ไทยจึงถือว่าโดดเด่นที่สุดในอาเซียน ขณะเดียวกันเมื่อมองไปถึงศักยภาพของผู้ค้าทองคำในไทย ยังมีความพร้อมในการแข่งขันกันมาก โดยปัจจุบันมีร้านขายทองทั่วประเทศมากกว่า 7,000 แห่ง และยังมีการรวมตัวเป็นสมาคมค้าทองคำที่เข้มแข็ง มีเครื่องมือกำหนดมาตรฐานการค้า คุณภาพทองคำ และการเป็นกระบอกเสียงเจรจากับภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าในภาพรวมแล้วไทยดูจะเข้มแข็งหรือมีความได้เปรียบ  แต่การที่ไทยจะก้าวไปเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำของอาเซียนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากการซื้อขายทองคำในประเทศเพื่อนบ้านค่อนข้างเป็นอิสระ ไม่ได้มีกลไกการควบคุมคุณภาพและราคาแน่ชัด ดังนั้นการรวมกลุ่มเป็นสมาคมขนาดใหญ่ รวมถึงการควบคุมมาตรฐานทองคำให้เป็นแบบเดียวกันทั้งภูมิภาคคงทำได้ยาก ที่สำคัญยังติดขัดในเรื่องกำแพงภาษีที่แต่ละประเทศตั้งภาษีนำเข้าทองคำไว้สูง และหลายประเทศไม่นิยมเก็บทองคำไว้เป็นสินทรัพย์ สิ่งที่ประเทศไทยควรทำคือ…การพยายามหันไปผลักดันการส่งออกทองคำ ในรูปแบบของเครื่องประดับมากขึ้น เชื่อว่าจะมีโอกาสเติบโตมาก แต่ขณะเดียวกันผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวรับมือกับการแข่งขันด้วย โดยเฉพาะการออกแบบดีไซน์ ให้มีความหลากหลายตรงกับความต้องการ รสนิยมของผู้บริโภคในแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกันมากขึ้น เพราะแม้ไทยมีจุดแข็งจากคุณภาพทองคำที่สูง แต่ก็มีราคาแพงจากต้นทุนค่าแรงสูงเช่นกัน! ผู้ประกอบการไทยจึงควรใช้จังหวะการเปิดเออีซี ในการเสาะหาแรงงานประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาช่วยผลิตทองคำเพิ่ม เพื่อลดต้นทุน และแก้ปัญหาแรงงานผลิตทองคำในไทยที่ขาดแคลน โดยเฉพาะแรงงานจากลาวที่มีวัฒนธรรม และฝีมือการผลิตลวดลายทองคำคล้ายคลึงกับไทย แต่การที่จะออกไปขยายฐานการผลิตและเปิดสาขาค้าทองคำในประเทศเพื่อนบ้านหลังเออีซี ยังไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เช่น ประเทศพม่า แม้จะมีทรัพยากรเหมืองทองคำอยู่มาก แต่เส้นทางการคมนาคมขนส่ง ระบบโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม ตลอดจนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังมีไม่สูง ดังนั้นหากคิดเริ่มลงทุนในต่างแดน ควรหาพันธมิตรธุรกิจที่เป็นคนท้องถิ่นเข้าร่วม จะช่วยลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจต่างแดนได้ ส่วนแนวความคิดในการจัดตั้ง “ตลาดรองเพื่อการซื้อขายทองคำ” เหมือนในต่างประเทศ สำหรับใช้เป็นกลไกกำกับการซื้อขายทองให้เกิดประสิทธิภาพ ยังเชื่อว่าไม่น่าเกิดขึ้นง่าย ๆ เพราะผู้ลงทุนต้องมีความเชี่ยวชาญสูง ดังนั้นสำหรับคนไทยจึงอาจต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ขณะที่ประเด็นเรื่องราคาทองคำหลังเปิดเออีซี มองว่าจะไม่มีผลให้ราคาทองคำในไทยเพิ่มขึ้นหรือลดลง เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าความเป็นกลางสูง โดยปรับขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจ เช่น เศรษฐกิจแย่นักลงทุนก็หันมาซื้อทองคำเก็บไว้ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยความเสี่ยงน้อยสุด ย่อมทำให้ราคาทองคำในตลาดแพงขึ้นได้ ฉะนั้นราคาทองคำในประเทศไทย ยังจะอ้างอิงและคำนวณจากราคาทองคำในตลาดโลกเป็นหลัก แต่สิ่งที่ระมัดระวังคืออาจมีทองคำคุณภาพต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาอยู่ในตลาด ซึ่งที่ผ่านมาก็มีอยู่แล้ว จึงต้องระมัดระวังดูให้ดี เพราะทองคำจากเพื่อนบ้านแม้ราคาถูกกว่า แต่คุณภาพก็ด้อยกว่าไทยด้วย การเลือกซื้อที่ดี จึงควรเลือกซื้อตามร้านที่มีตัวตนจะปลอดภัยกว่า โดยวิธีดูเบื้องต้นสังเกตจากสีทองจะไม่เหลืองอร่ามเหมือนทองคำทั่วไป หรือสามารถไปตรวจสอบตามร้านค้าทอง ซึ่งจะพิสูจน์แยกแยะได้ชัดเจน… ข้อมูลเหล่านี้… ถือเป็นทิศทางของทองคำในอนาคต หากใครต้องการหาข้อมูลเชิงลึก หรือต้องการติดตามสถานการณ์ ข้อมูล
แนวโน้มราคาทองคำ รวมถึงผลงานวิชาการก็สามารถคลิกไปดูได้ที่ http://business.utcc.ac.th/ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : อนาคตตลาดทองคำหลังเออีซี – เออีซีกับ ม.หอการค้าไทย

Posts related

 














เล็งรีดภาษีธุรกิจขนาดกลางเพิ่ม

อธิบดีสรรพากรคนใหม่ตั้งแท่นรีดภาษีธุรกิจรายกลางเพิ่ม หลังจากเก็บภาษีปี 56 พลาดเป้า 9,000 ล้านบาท พร้อมตั้งธงรบแกงค์โกงภาษี หวังตามเงินคืนหลวง
นายสุทธิชัย สังขมณี  อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมฯมีแผนขยายฐานการจัดเก็บภาษีไปยังกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางมากขึ้น เนื่องจากพบว่ามีการหลีกเหลี่ยงภาษี เช่น แสดงทรัพย์สินต่ำกว่าความเป็นจริง เป็นต้น โดยจะเน้นทำงานเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ และเน้นความเป็นธรรมให้ผู้เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเร่งแก้ระเบียบหรือข้อบังคับต่าง ๆ ให้การทำงานมีความคล่องตัวมากขึ้น  โดยจะเชื่อมโยงข้อมูลด้านภาษีของทั้ง 3 กรม คือ สรรพสามิต และศุลกากรเข้าด้วยกัน เพราะต้องการอุดช่องโหว่ในการจัดเก็บภาษี ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่นั้น ปัจจุบันมีระบบการเสียภาษีที่ดีอยู่แล้ว นอกจากนี้จะปรับโครงสร้างภาษีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการธุรกิจในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ในสัปดาห์นี้จะมีข้อสรุปกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เสนอขอผ่อนปรนภาษีหลายเรื่อง เช่น ขอยกเว้นภาษีเงินปันผลให้ผู้ลงทุน ยกเว้นภาษีเพื่อการควบรวมกิจการ อย่างไรก็ตามได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลังรับทราบแล้ว ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 57 คาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้ 1.9 ล้านล้านบาท แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่เชื่อว่าจะทำได้ตามแผนที่วางไว้แน่นอน ส่วนการจัดเก็บภาษีปีงบประมาณ 56 ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 9,000 ล้านบาท จากเป้าหมาย 1.77 ล้านล้านบาท เป็นผลจาการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ลดลง และการปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 23% เหลือ 20%  “เศรษฐกิจปีนี้ มีแนวโน้มจะโตต่ำกว่าเป้า 2% ซึ่งจะกระทบการจัดเก็บภาษี ดังนั้นกรมสรรพากรต้องเร่งกระตุ้นการทำงานของข้าราชการ และเร่งปรับปรุงระบบสารสนเทศ ระบบคอมพิวเตอร์ และคนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อ เชื่อมโยงข้อมูลของกรมภาษีเข้าด้วยกัน”            

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เล็งรีดภาษีธุรกิจขนาดกลางเพิ่ม

เล็งรีดภาษีธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่ม

อธิบดีสรรพากรคนใหม่ตั้งแท่นรีดภาษีธุรกิจรายกลางเพิ่ม หลังจากเก็บภาษีปี 56 พลาดเป้า 9,000 ล้านบาท พร้อมตั้งธงรบแกงค์โกงภาษี หวังตามเงินคืนหลวง
นายสุทธิชัย สังขมณี  อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า  กรมฯมีแผนขยายฐานการจัดเก็บภาษีไปยังกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางมากขึ้น เนื่องจากพบว่ามีการหลีกเหลี่ยงภาษี เช่น  แสดงทรัพย์สินต่ำกว่าความเป็นจริง เป็นต้น โดยจะเน้นทำงานเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ  และเน้นความเป็นธรรมให้กับผู้เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพ  พร้อมทั้งเร่งแก้ระเบียบหรือข้อบังคับต่าง ๆ  ให้การทำงานมีความคล่องตัวมากขึ้น  โดยจะเชื่อมโยงข้อมูลด้านภาษีของทั้ง 3 กรม คือ สรรพสามิต และศุลกากรเข้าด้วยกัน  เพราะต้องการอุดช่องโหว่ในการจัดเก็บภาษี   ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่นั้น ปัจจุบันมีระบบการเสียภาษีที่ดีอยู่แล้ว นอกจากนี้จะปรับโครงสร้างภาษีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการธุรกิจในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  เช่น ภายในสัปดาห์นี้จะมีข้อสรุปกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เสนอขอผ่อนปรนภาษีในหลายเรื่อง เช่น  ขอยกเว้นภาษีเงินปันผลให้ผู้ลงทุน  ยกเว้นภาษีเพื่อการควบรวมกิจการ  อย่างไรก็ตาม ได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลังรับทราบแล้ว ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 57   คาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้ประมาณ  1.9 ล้านล้านบาท แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่เชื่อว่าสามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้แน่นอน  ส่วนการจัดเก็บภาษีปีงบประมาณ 56  ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 9,000 ล้านบาท จากเป้าหมาย   1.77 ล้านล้านบาท เป็นผลจาการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวตลดลง และการปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 23% เหลือ 20% “เศรษฐกิจในปีนี้มีแนวโน้มจะโตต่ำกว่าเป้าหมาย 2% ซึ่งจะกระทบการจัดเก็บภาษี ดังนั้นกรมสรรพากรต้องเร่งกระตุ้นการทำงานของข้าราชการ และเร่งปรับปรุงระบบสารสนเทศ ระบบคอมพิวเตอร์ และคนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อ เชื่อมโยงข้อมูลของกรมภาษีเข้าด้วยกัน"

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เล็งรีดภาษีธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่ม

Page 1537 of 1552:« First« 1534 1535 1536 1537 1538 1539 1540 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file