พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงกรณี ครม.อนุมัติยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ปี58-65 ว่า กระทรวงคมนาคมจะสรุปกรอบวงเงินงบประมาณ และรายละเอียดในการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานในทุกๆด้านได้เสร็จในเดือนพ.ย.นี้ พร้อมกับเสนอขอขยายกรอบระยะเวลาแผนยุทธศาสตร์จาก 8 ปี เป็น 10 ปี หรือเริ่มตั้งแต่ปี 59-68 เนื่องจากเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ามีหลายโครงการที่เป็นโครงการต่อเนื่องที่ต้องทำระยะยาว อีกทั้งต้องทำให้สอดคล้องกับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ส่วนประเด็นที่ว่ากรอบการลงทุนทั้งหมดจะใช้เงินมากกว่า 2 ล้านล้านบาทหรือไม่นั้น เบื้องต้น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ศึกษาไว้ว่าใช้เงินประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท แต่ยังไม่รวมงานก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 ที่ใช้งบประมาณ 62,000-79,000 ล้านบาทบาท และโครงการก่อสร้างรถไฟรางมาตรฐาน 1.435 เมตร ดังนั้น หากพิจาณาตามเนื้องานที่มีอยู่งบการลงทุนอาจมากกว่า 2 ล้านล้านบาท แต่จะมีเนื้องานที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับแผนงานก่อสร้างที่มีความชัดเจน ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ขนาดราง 1 เมตร มี 6 เส้นทาง กรอบวงเงินลงทุน 1.29 แสนล้านบาท โดยเริ่มดำเนินการได้ในปี 58 โครงการรถไฟทางคู่ขนาดรางมาตรฐาน 1.435 เมตร ความเร็ว 160 กม.ต่อชั่วโมง ระยะทางรวม 1,060 กม. แบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ กรุงเทพฯ -นครราชสีมาและนครราชสีมา-มาบตาพุด ระยะทาง 512 กม. กรุงเทพฯ -ระยอง ระยะทาง 193 กม. และนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 355 กม. ซึ่งจะมีการตั้งงบสำรวจออกแบบแล้วเสร็จในกลางปี 58 และตั้งงบประมาณก่อสร้างได้ปี 59 “การสร้างรถไฟกึ่งความเร็วสูงได้มีการปรับแบบใหม่ ให้สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านได้ดีขึ้น และอนาคตจะมีเส้นทางรถไฟทางคู่รางมาตรฐานสายใต้เพิ่ม เพื่อเชื่อมจากจากหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ จากนั้นจะดำเนินการทางสายเหนือ นอกจากนี้กรอบยุทธศาสตร์ยังมีการอนุมัติเพิ่มเติมอีก 2 เส้น คืออีสต์- เวสต์คอริดอร์ เชื่อม 2 ฝั่งของไทย กับเส้นทางด้านอีสานบน-อีสานใต้ ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดนำเข้าครม. ส่วนทางถนนมีหลายสายที่จะเชื่อมต่อด่านชายแดน”
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : “ประจิน”ยืดลงทุนยุทธศาสตร์เป็น10ปี
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (22 ต.ค) ดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนในแดนบวกตลอดวัน โดยได้รับปัจจัยบวกจากการดีดตัวกลับของตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่ยังมีแรงขายทำกำไรเป็นระยะเนื่องจากไร้ปัจจัยหนุนใหม่ และภาพรวมตลาดเริ่มทรงตัว สะท้อนได้จากมูลค่าการซื้อขายที่เริ่มเบาบางลง แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดของช่วงปรับฐานเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุด 1,535.38 จุด และลดลงต่ำสุด 1,523.89 จุด จนมาปิดตลาดที่ 1,532.72 จุด เพิ่มขึ้น 6.58 จุด หรือ 0.43% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 37,275.97 ล้านบาท สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก 1.ทรู. ปิดที่ 10.60 บาท ลดลง 0.20 บาท 2.เอไอเอส ปิดที่ 228.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท 3.ธ.ไทยพาณิชย์ ปิดที่ 170.00 บาท ลดลง 2.50 บาท 4.ธ.กรุงไทย ปิดที่ 22.50 บาท ลดลง 0.60 บาท 5.ธ.กสิกรไทย ปิดที่ 232.00 บาท ปิดไม่เปลี่ยนแปลง 
นายสุรพงศ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เปิดเผยว่า ปริมาณการส่งออกรถยนต์ในเดือน ก.ย.อยู่ที่ 97,570 คัน ติดลบ 17.49% ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ส่งผลให้ยอดการส่งออก 9 เดือน (ม.ค. – ก.ย.) อยู่ที่ 838,952 คัน ติดลบ 1 % จากการขยายตัวครึ่งปีแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 10 % เนื่องจากตลาดหลัก และตลาดรองของไทยประสบปัญหาในประเทศ ทำให้ความต้องการรถยนต์ลดลง เช่น ตลาดตะวันออกกลาง เกิดความไม่สงบ , ตลาดออสเตรเลีย ราคาถ่านหินตกต่ำ ทำให้ความต้องการรถกระบะจากไทยลดลง รวมถึงตลาดแอฟริกา เกิดปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสอีโบล่า สำหรับยอดจำหน่ายในประเทศเดือน ก.ย. มีปริมาณ 68,843 คัน ลดลง 27.5 % ขณะที่ยอดจำหน่ายในประเทศ 9 เดือน มีปริมาณ 648,116 คัน ลดลง 37.3 % เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวต่อเนื่อง การเบิกจ่ายงบประมาณ ยังไม่มากพอ ราคาสินค้าเกษตรลดลง รวมทั้งสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ส.อ.ท. คาดว่า ปี 57 การผลิตรถยนต์มีประมาณ 1.9 ล้านคัน ปี 57 จากเดิมที่คาดการณ์ว่า จะมีปริมาณการผลิต 2.2 ล้านคัน แต่หวังว่า ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะกระตุ้นยอดขายในประเทศจากงานแสดงรถยนต์ และการออกรถยนต์รุ่นใหม่ของค่ายรถยนต์ ทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขายอยู่ที่ระดับ 2.1 ล้านคันได้ แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 900,000 คัน และส่งออก 1.2 ล้านคัน “หากสถานการณ์รถยนต์ปลายปีไม่กระเตื้องมากนัก ประมาณการผลิตรถยนต์ช่วง 3 เดือน คือ ตุลาคม-ธันวาคม 2557 มีจำนวน 5.46 แสนคัน ซึ่งการผลิตดังกล่าวจะทำให้ทั้งปีผลิตประมาณ 1.9 ล้านคัน ส่วนปีหน้าคาดว่ายอดการผลิตรถยนต์ จะไม่ต่ำกว่าปีนี้ โดยคาดว่า มีปริมาณ 2.2 ล้านคัน เนื่องจากมองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะเริ่มส่งผลให้ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อรถยนต์มากขึ้น ” 
