shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

เปิดโผ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง – ดาวดับ แนะเสริมธุรกิจมั่นคงรับปีมะเมีย

ต้อนรับสู่ศักราชใหม่ หลังปิดฉากปีมะเส็ง สุดหดหู่ด้านเศรษฐกิจ เจอทั้งพิษการเมืองในประเทศที่ลากยาว แถมยังไม่รู้ท่าทีจุดหมายของการสงบคืออะไร เลยกลายเป็นเศรษฐกิจปีงูเล็กจุกอก มึนตึ้บไปตาม ๆ กัน เรื่องร้าย ๆ ที่ผ่านมา ก็ขอให้ผ่านไป ส่วนเรื่องดี ๆ อยากให้เก็บไว้ให้ชุ่มชื่นหัวใจ เตรียมตัวเตรียมใจรับศึกปีมะเมีย หลายสำนักทั้งฝั่งวิชาการ ฝันโหราศาสตร์ ฟันธงไปทิศทางเดียวกัน ปีม้าปีนี้จะเป็นม้าคึกคะนอง ซู่ซ่าตลอดปี แต่ไม่วายตั้งเงื่อนไข เหตุบ้านการเมืองต้องจบเร็ว อย่าลากยาว! แต่สิ่งสำคัญตอนนี้ ผู้ประกอบการ ต้องหันมาดูแลเดินหน้าการทำธุรกิจ โกยรายได้เข้ากระเป๋าดีที่สุด ส่วนธุรกิจไหนจะเป็นดาวรุ่ง เจิดจรัส ธุรกิจไหนจะเป็นธุรกิจดาวดับอับแสง เปิดโผให้รู้กัน 10 อันดับ ธุรกิจไหนเป็นดาวดับก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มีคัมภีร์ชี้ช่องดาวดับ ให้กลับมาส่องแสงเจิดจรัสอีกครั้ง โดย 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวดับ ครั้งนี้ เป็นการสำรวจวิเคราะห์จากหน่วยงาน สสว.และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ต่างฝ่ายต่างวิเคราะห์ ในแบบฉบับของหน่วยงาน แต่ก็ได้ผลออกมาคล้ายคลึงกัน จึงได้รวบรวมมาเปิดโผให้เห็นเจาะลึกถึงปัจจัยหนุนปัจจัยเสี่ยง โดย สสว.ได้วิเคราะห์ใช้ตารางปัจจัย-ผลผลิตของเอสเอ็มอี 58 สาขา ทั้งภาคการผลิต ภาคการค้าและภาคบริการ ซึ่งให้ความสำคัญต่อการวิเคราะห์ ผ่านผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เนื่องจากมีผู้ประกอบการกว่า 2.7 ล้านราย คิดเป็น 97–98 % ของผู้ประกอบการทั่วประเทศ ใช้เกณฑ์ข้อมูลผลประกอบการในช่วงปี 52-54 ปัจจัยการผลิตเอื้ออำนวย นโยบายของประเทศไทย แนวโน้มทางด้านสภาพเศรษฐกิจ สังคม ขณะที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินธุรกิจจากผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเอสเอ็มอี จากข้อมูลการนำเข้า–ส่งออก การให้สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม อัตรากำลังการผลิต ภาวะเศรษฐกิจทั้งของไทย และต่างประเทศ ผ่านการให้คะแนนด้านยอดขาย ต้นทุน ส่วนต่างกำไร ความสามารถรับความเสี่ยง และกระแสนิยม วิเคราะห์เจาะลึกทั้งปัจจัยสนับสนุน ปัจจัยเสี่ยง พบว่า อันดับ 10 พลังงาน,พลังงานทดแทน ธุรกิจนี้ แม้จะเป็นธุรกิจดาวรุ่ง แต่ก็เริ่มตกอันดับลงมาเรื่อย ๆ จากปีที่ผ่านมาอยู่ในอันดับ 5 ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงจากต้นทุนการผลิตที่สูง รวมทั้งการส่งเสริมนโยบายของภาครัฐ ยังไม่ชัดเจน และต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยสนับสนุน ที่ยังส่งผ่านให้เป็นธุรกิจดาวรุ่งได้ คือ ความต้องการใช้พลังงานทั้งน้ำมัน ไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และพลังงานทดแทน รวมทั้งความต้องการใช้พลังงานทดแทน เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมมีมากขึ้น และการสนับสนุนของรัฐบาลในการใช้พลังงานทดแทน ขณะที่ราคาวัตถุดิบ ยังไม่สูงมากนัก แต่ราคาพลังงานเริ่มเพิ่มสูงขึ้น อันดับ 9 อสังหาริมทรัพย์ ยังถือเป็นธุรกิจดาวรุ่ง เพราะยังมีความต้องการซื้อของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเภทแนวดิ่ง เช่น คอนโดฯ ตามแนวรถไฟฟ้า และมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ด้านคมนาคม รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำ แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเสถียรภาพทางการเมืองที่ไม่แน่นอน อาจทำให้นโยบายด้านรถไฟฟ้าของรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งต้นทุนการผลิตที่สูง โดยเฉพาะค่าแรงงาน ที่ดิน ค่าวัสดุก่อสร้าง และปัญหาขาดแคลนแรงงานที่รุนแรงขึ้น อันดับ 8 เครื่องดื่ม,วัสดุก่อสร้าง ธุรกิจเครื่องดื่ม ติดอันดับดาวรุ่ง เพราะเป็นธุรกิจที่ผู้บริโภคต้องการสินค้าอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิต รวมทั้งมีการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ด้านเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากขึ้น กำลังซื้อในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ที่สำคัญพฤติกรรมคนไทย ชอบการสังสรรค์ ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ระดับราคาสินค้าที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับสินค้าอื่น และมีคู่แข่งทางธุรกิจที่สูง รวมทั้งแข่งขันกันตัดราคาส่วนธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง มีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล, การขยายตัวของภาคอสังหาริม ทรัพย์ในภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การส่งออก ธุรกิจอสังหาฯ และการปรับตัวของภาคการผลิตเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเสถียรภาพทางการเมืองไม่แน่นอน การเริ่มโครงการของภาครัฐอาจล่าช้า ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะค่าจ้างแรงงาน และปัญหาขาดแคลนแรงงาน อันดับ 7 ประกันภัย,ประกันชีวิต ได้รับแรงส่งจากปัจจัยสนับสนุนนโยบายลดหย่อนภาษี ที่ยังมีต่อเนื่อง รายได้ของประชาชนมีโอกาสเพิ่มขึ้น การลงทุนของบริษัทประกันชีวิตในธุรกิจอื่น ความเข้าใจรูปแบบประกันต่าง ๆ มีมากขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือ อุบัติภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งหลักเกณฑ์การกำกับดูแลบริษัทในกลุ่มประกันเข้มงวด และดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ อันดับ 6 ท่องเที่ยว,ศึกษา,เคมีภัณฑ์ ธุรกิจท่องเที่ยว ได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งชาวจีน อินเดีย รัสเซีย ระดับราคาท่องเที่ยวไทย ไม่สูงมาก และมีการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยเสี่ยงคู่แข่งทางธุรกิจสูง แข่งขันตัดราคา สถานการณ์การเมืองในประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยน ธุรกิจการศึกษา ได้รับแรงสนับสนุนจากกระแสการเรียนรู้มากขึ้นในสังคม การเข้าถึงแหล่งการเรียนจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การเตรียมพร้อมเข้าสู่เออีซี แต่ยังปัจจัยเสี่ยงจากการแข่งขันทางธุรกิจมีมาก การชำนาญของบุคลากร และดูแลเรื่องคุณภาพและการให้บริการธุรกิจเคมีภัณฑ์ ปัจจัยสนับสนุนจากตลาดต่างประเทศยังมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีน อาเซียน ภาวะเศรษฐกิจโลก ที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว และมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวนโยบายภาครัฐ และเสถียรภาพการเมือง อัตราแลกเปลี่ยน อันดับ 5 ผลิตและอุปกรณ์เทคโนโลยี ได้รับแรงสนับสนุนจากสภาวะเศรษฐกิจโลกมีทิศทางดีขึ้น ความต้องการสินค้าในประเทศยังมีต่อเนื่อง การพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี ราคาไม่สูงมาก ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีได้มาก ส่วนปัจจัยเสี่ยง ยังมีการแข่งขันทางธุรกิจที่สูง เทคโนโลยีตกรุ่นเร็ว ทำให้ราคาตกเร็ว อันดับ 4 เม็ดพลาสติก ปัจจัยสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ความต้องการภาชนะอาหารและเครื่องดื่มมากขึ้น ความต้องการใช้พลาสติกของโลกมากขึ้น แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการรณรงค์ลดใช้พลาสติก เพื่อไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ระดับราคาขึ้นอยู่กับปิโตรเลียมเป็นสำคัญ อันดับ 3 สื่อโทรทัศน์, ออแกไนท์ ปัจจัยสนับสนุน ธุรกิจด้านสื่อโทรทัศน์เข้าสู่ยุคทีวีดิจิทัล การเข้าถึงของประชาชนต่อเนื่อง การออกใบอนุญาตให้ดำเนินการฟรีทีวี การขยายเครือข่าย และมีช่องทางเผยแพร่หลากหลาย การโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์เป็นที่นิยม ปัจจัยเสี่ยง คือ การแข่งขันด้านสื่อที่รุนแรงมากขึ้น รวมทั้งบุคลากรที่เชี่ยวชาญไม่เพียงพอกับความต้องการ รูปแบบการกำกับดูแลทีวีดิจิทัลหลังจากให้ใบอนุญาตฯส่วนธุรกิจออแกไนท์ ได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว พฤติกรรมธุรกิจเริ่มหันมาใช้บริการออแกไนท์ การขยายตัวของโซเชียลมีเดียมากขึ้น และธุรกิจเริ่มหาแนวทางสร้างกระแสเป็นเฉพาะพื้นที่ (นิช มาเก็ต) แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาการเมือง และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น อันดับ 2 เทคโนโลยีสื่อสาร ได้รับแรงปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการใช้ระบบสื่อสารมีมากขึ้นต่อเนื่อง การเข้าสู่ยุค 3 จี และพัฒนาระบบการสื่อสารมากขึ้น การพัฒนาเครือข่ายความเร็วสูงในทุกพื้นที่ และราคาอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ มีราคาต่ำลง รวมทั้งผู้ให้บริการยังมีไม่มาก แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการแข่งขันราคาสูง การปรับตัวรองรับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว อันดับ 1 บริการการแพทย์และความงาม ได้รับแรงสนับสนุนจากกระแสการให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพ และการดูแลความงามมากขึ้น การบริการทางการแพทย์และความงามของไทยมีคุณภาพดี ราคาไม่แพง ประเทศเพื่อนบ้านให้ความเชื่อมั่นกับไทยเรื่องการรักษา และความงาม พฤติกรรมการดูแลผิวพรรณที่มีมากขึ้น และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรในการรักษาที่เพียงพอ โดยเฉพาะพยาบาล รวมทั้งมีปัญหาความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความไม่มีมาตรฐานของสถานประกอบการบางแห่ง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจดาวรุ่งนั้น “ปฏิมา จีระแพทย์” ผู้อำนวยการ สสว.ได้แนะแนวทางการส่งเสริมให้ยิ่งรุ่งต่อไป โดยภาครัฐต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพัฒนานวัตกรรมของโมเดลธุรกิจ หาโอกาส และสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนโยบายส่งเสริมการอุดหนุนของรัฐต่อการร่วมทุน รวมทั้งการบริการจับคู่ธุรกิจหามาตรการภาษีเพื่อจูงใจนักลงทุน              ขณะเดียวกันควรอุดหนุนการวิจัยพัฒนา การฝึกอบรมพัฒนา การจัดระบบพี่เลี้ยงให้ผู้ประกอบการ การสนับสนุนการต่อยอดการวิจัย เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ การพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการ วิสัยทัศน์ร่วม สถานประกอบการร่วม ศูนย์บ่มเพาะ การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน ระบบติดตามการพัฒนาเทคโนโลยี ศูนย์ข้อมูลผู้เชี่ยวชาญสิทธิบัตร และแนะนำผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ หาช่องทางการตลาดให้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ซึ่งหากผู้ประกอบการธุรกิจต้องการคำแนะนำ สอบถามได้ที่ สสว.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้ ส่วน 10 ธุรกิจดาวดับที่เริ่มอับแสง หรือที่ “สสว.” เรียกว่า เป็นกลุ่มธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากผลผลิตของผู้ประกอบการมีอัตราการขยายตัวน้อยจนถึงติดลบ ส่วนใหญ่เป็น กลุ่มธุรกิจที่ใช้แรงงานมาก รวมทั้งสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศที่มีต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบต่ำกว่า เช่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม กลุ่มนี้ สสว.ไม่ได้จัดอันดับว่าธุรกิจไหนอับแสงสูงที่สุด แต่เป็นการสำรวจรวม ๆ คือ 1. การผลิตผลิตภัณฑคอนกรีต 2. การทําเหมืองถานหิน และแรลิกไนต  3.  การผลิตผลิตภัณฑเหล็กกลา 4. การผลิตอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น การผลิตอุปกรณการถายภาพ และสายตา การผลิตนาฬิกา การผลิตเครื่องประดับ การผลิตเครื่องดนตรี และเครื่องกีฬา 5. ไม้ และผลิตภัณฑ์จากไม้ 6.ผลิตภัณฑอื่น ๆ ที่ไมใชเหล็ก ถลุงแรอื่น ๆ เชน ถลุงดีบุก 7. การผลิตผลิตภัณฑที่ไมใช่โลหะ เช่น การผลิตกระเบื้องเคลือบและเครื่องปนดินเผา การผลิตแก้วและผลิตภัณฑ์จากแก้ว 8. การทําเหมืองแรเหล็ก ดีบุก และทังสเตน 9. การบริการทางธุรกิจตาง ๆ 10. หนัง และการผลิตเครื่องหนัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าดาวอับแสงจะไม่กลับมาเจิดจรัสได้ เพราะเมื่อพิจารณาลงลึกถึงผลิตภัณฑ์แล้ว พบว่ายังมีบางผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตได้ เพียงแต่ต้องเน้นการสร้างคุณค่า และมีเพิ่มมูลค่าขึ้น เช่น การออกแบบ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ การสนองตอบตลาดระดับบน ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง-คนรุ่นใหม่ รวมทั้งให้ใส่ความเป็นไทยลงไป เช่น การผลิตอุปกรณ์ และเครื่องแต่งกายกีฬาในเทศกาลการแข่งขัน ผลิตภัณฑ์กระเบื้องเคลือบตกแต่งบ้าน เครื่องหนังที่มีดีไซน์ และใช้วัตถุดิบคุณสมบัติพิเศษ ส่วนธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้ ให้ออกแบบครอบคลุมทุกกลุ่มตลาดมากขึ้น เช่น ขณะนี้ประเทศเมียนมาร์ อยู่ระหว่างการเปิดประเทศ ต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่มาจากไทยจำนวนมาก เนื่องจากสินค้าออกแบบสวยงามเป็นที่ต้องการของชาวเมียนมาร์ เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการไทย ควรหาช่องทางการเข้าไปขายสินค้าในประเทศเมียนมาร์มากขึ้น หากปรับปรุงผลิตภัณฑ์ได้ตามนี้ รับรองดาวดับ กลับมาเกิดเจิดจรัสแน่นอน! ไม่ว่าธุรกิจไหนจะอยู่ในกลุ่มดาวรุ่งหรือดาวดับ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจ คือ การติดตามแนวโน้มสินค้าว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน และปรับปรุงสินค้าให้เข้าเทรนด์ ตรงความต้องการของลูกค้า รวมทั้งหาช่องทางการขายให้เข้าถึงกับกลุ่มเป้าหมาย เคล็ดลับง่าย ๆ แค่นี้เชื่อว่าธุรกิจอยู่ยาวแน่นอน. จิตวดี เพ็งมาก

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เปิดโผ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง – ดาวดับ แนะเสริมธุรกิจมั่นคงรับปีมะเมีย

Posts related

 














ชาวบ้านรับกรรมฉลองปีใหม่จับตาสินค้าพาเหรดขึ้นราคา

หลังจากประเทศไทยประสบปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นต่อเนื่องได้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทุกกลุ่มอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นบรรดาเจ้าสัว มนุษย์เงินเดือน หรือแม้แต่ประชาชนระดับรากหญ้า และพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย ที่ต้องมาบ่นกับการซื้อสินค้าแพงไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะอาหารจานด่วน ก๋วยเตี๋ยว ผัก ผลไม้ ไข่ไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ของใช้ในชีวิตประจำวัน และค่าบริการ เป็นต้น ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นในปี 56 ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของรัฐบาลเกือบทั้งสิ้น เช่น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศ การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ นโยบายการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดตันละ 15,000 บาท การทยอยปรับขึ้นราคาแอลพีจีและการอุดหนุนสินค้าเกษตรอื่น ๆ รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ทั้งการขึ้นของค่าไฟฟ้า ราคานํ้ามัน และราคาวัตถุดิบในการผลิตสินค้า ไม่เว้นแม้แต่การฉวยโอกาสในการปรับขึ้นราคาสินค้าในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ที่ทำให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “เห็นได้จากคำพูดของแม่บ้านคนหนึ่งที่ต้องเลี้ยงลูก 2 คน อ้างว่า แม้รัฐบาลจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทก็ตาม สุดท้าย ก็ไม่มีเงินเหลือเก็บเหมือนกับเมื่อก่อน ที่ได้ค่าจ้างวันละ 200 บาท กว่า ๆ แต่ก็ยังมีเงินเก็บ เพราะเดิมซื้อกับข้าวถุงละ 20 บาท แค่ 100 บาทคนในครอบครัวกินได้ 3 มื้อ แต่ตอนนี้กับข้าวถุงละ 30-45 บาทแล้ว เงิน 100 บาท ซื้อได้แค่ 1 มื้อ” สถานการณ์ดังกล่าว สวนทางกับข้อมูลของภาครัฐบาลที่มักจะอ้างว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ แสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าไม่ได้สูงจริงตามที่ชาวบ้านอ้างจนเกิดวาทกรรม ’ราคาของแพงชาวบ้านคิดไปเอง” เพราะสินค้าตามห้างค้าปลีกและห้างสรรพสินค้า ราคาก็ไม่สูง แถมผู้ประกอบการยังจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม ไม่เว้นแต่ละวัน สุดท้ายจึงเกิดการทะเลาะกันระหว่างชาวบ้านกับข้าราชการ ข้าวแกงพุ่งสวนสินค้าโรงงาน “ธนิต โสรัตน์” เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) อธิบายเรื่องนี้ว่า เป็นข้อมูลที่ถูกทั้ง 2 ฝ่าย เพราะภาวะค่าครองชีพของไทยขณะนี้ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ เรื่องอาหาร เช่น ข้าวแกง หรืออื่น ๆ และ สินค้าอุปโภคบริโภค โดยอาหารนั้น เฉพาะตลาดร้านริมถนน ยันไปถึงร้านใหญ่ ถือว่ามีราคาแพงมาก ซึ่งร้านริมถนนอย่างข้าวแกงราคาปรับจาก 25-30 บาทต่อจาน เป็น 40-50 บาท ตรงนี้ได้กระทบต่อผู้บริโภคอย่างมาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวบ้านระดับรากหญ้าที่เดือดร้อนเต็ม ๆ เนื่องจากเงินที่ได้มาส่วนใหญ่จะใช้จ่ายกับการซื้ออาหารขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภค หรือของใช้นั้นพบว่าในช่วงปี 56 มีการแข่งขันเรื่องราคาอย่างรุนแรง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยสินค้าแบบฟุ่มเฟือย ทำให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไม่กล้าปรับขึ้นราคาสินค้าทั้ง ๆ ที่ต้องรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เพราะหากรายใดปรับราคาสูงตามต้นทุนที่พุ่งขึ้นโดยเฉพาะต้นทุนค่าแรง ก็จะทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าที่ถูกกว่าแทนอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สินค้าหลาย ๆ ประเภทไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้มากนักนอกเหนือจากเศรษฐกิจซบเซา คือเรื่องของการส่งออกไม่ดี ทำให้ผู้ประกอบการนำสินค้าที่จะส่งออก หันมาขายในประเทศแทน ก็ยิ่งทำให้สินค้าล้นตลาด!!     “ธนิต” ยังอธิบายอีกว่าสาเหตุที่การบริโภคที่หดตัวลง จนมีส่วนทำให้ราคาสินค้าทั่วไปไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ ยกเว้นเรื่องของอาหาร มาจากหลายปัจจัย คือ กำลังการผลิตที่ลดลง ราคาสินค้าเกษตรที่ติดลบ ทำให้กำลังซื้อของเกษตรกรน้อยลง ซึ่งตรงนี้จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคตามชนบทโดยตรง ส่วนผู้บริโภคที่อยู่ในเมืองใหญ่ จะประสบกับปัญหาที่แตกต่างกันไป โดยคนในเมืองใหญ่ จะมีรายจ่ายที่มากขึ้น เช่น จากการซื้อรถยนต์คันแรก ส่งผลให้ต้องใช้จ่ายเรื่องค่านํ้ามัน และค่าบำรุงรักษาตามมา ทำให้เงินที่จะต้องใช้จ่ายเหลือน้อยลง ซึ่งผู้บริโภคก็ปรับตัวด้วยการพยายามใช้เงินให้น้อยลงเช่นกัน สุดท้ายเมื่อประชาชนลดการใช้จ่ายลง ทำให้บรรดาผู้ประกอบการอย่างห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกและร้านค้าต่าง ๆ ต้องงัดโปรโมชั่นลดแหลก เห็นได้จากในไตรมาสที่ 4 ของปี 56 ที่ผ่านมา บรรดาห้างค้าปลีกต่างไล่บี้ให้โรงงานผลิตสินค้าในระดับเอสเอ็มอี ให้ลดราคา สินค้าลง 15-20% เพื่อที่ห้างฯ นำมาลดราคาในช่วงเทศกาลปีใหม่ สินค้ารอโอกาสขึ้นแน่ เมื่อดูภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าในปี 56 เหมือนกับว่าสินค้าต่าง ๆ นั้นอัดอั้นมานานและกำลังรอโอกาสที่จะปรับขึ้นราคาตามต้นทุนการผลิตตั้งแต่ต้นนํ้า กลางนํ้า และระดับปลายนํ้า ดังนั้น ปี 56 ที่ชาวบ้านเดือดร้อนจากราคาสินค้าพุ่งกระฉูดนั้น นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า ปีที่แล้วสินค้าขึ้นแบบหลอก ๆ หรือเผาหลอก แต่ของจริงน่าจะเป็นปี 57 มากกว่า ขอเพียงแต่รอคำว่าเศรษฐกิจดีและการส่งออกดีรับรองว่าครึ่งปี 57 ราคาหลายตัวจะพุ่งกระฉูดแน่นอน ทั้งนี้พบว่าที่ผ่านมาในปี 56 มีผู้ประกอบการหลายราย ทำหนังสือมายังกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ก็ถูกเบรกไว้หลายประเภท ด้วยการขอความร่วมมือให้ตรึงราคาสินค้าออกไปจนสิ้นปี 56 จากนั้นก็มาพิจารณาสินค้าเป็นรายชนิด ว่าปรับราคาได้หรือไม่ โดยเฉพาะในรายของ ผู้ผลิตซีอิ๊ว นํ้าปลา นํ้าตาลทราย ถุงขนาด 1 กก. นมสดพร้อมดื่ม หรือแม้แต่นํ้ามันพืช เป็นต้น ที่ทำเรื่องขอขึ้นราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในหมวดอาหารหมดแล้ว ก็ถูกเบรกทั้งที่สาเหตุที่ขอขึ้นราคามาจากผลกระทบค่าแรงขั้นต่ำ และวัตถุดิบในการผลิตสินค้าสูงขึ้น ขณะที่ภาคอาหารก็ยังปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอาหารจานด่วน ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกงข้างถนน และขนมอื่น ๆ เป็นต้น โดยปี 56 ได้ปรับเพิ่มเฉลี่ยไปแล้ว 5 บาท และเชื่อว่าปี 57 นี้ น่าจะทยอยปรับขึ้นเรื่อยอีก เนื่องจากหลายฝ่ายประเมินว่าเศรษฐกิจไทยและโลกน่าจะฟื้นตัว ได้ในช่วงกลางปีหรือหลังจากเทศกาลสงกรานต์ หากรัฐบาลยังเดินหน้าตรึงราคาสินค้าเชื่อว่าจะมีสินค้าหลาย ๆ ประเภทต้องปรับลดขนาดสินค้ามากขึ้น หรือไม่ก็นำสินค้าใหม่ ๆ ที่ปรับปรุงรสชาติใหม่ แล้วปรับขึ้นราคาโดยอ้างว่าได้เพิ่มวัตถุดิบที่มีคุณภาพเข้าไปในผลิตภัณฑ์ และมีต้นทุนจากการวิจัยสินค้าเป็นต้น สินค้าทยอยปรับราคาเฉลี่ย 5% ทั้งนี้ “วชิร คูณทวีเทพ” ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ประเมินว่า ปี 57 ผู้ประกอบการจำนวนมาก มีแผนที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าเฉลี่ย 5% เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตสินค้าจากค่าแรง, วัตถุดิบ, ค่าบริหารจัดการ, ก๊าซหุงต้ม และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นที่จะปรับเพิ่มจาก 18.13 บาทต่อ กก. เป็น 24.82 บาทต่อ กก. ในช่วงเดือน ต.ค. 57 หลังจากที่ในช่วงปี 55-56 ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้มากนัก เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศชะลอตัวต่อเนื่อง และยังมีหนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด สำหรับการปรับขึ้นราคาสินค้าจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ปรับขึ้นในช่วงต้นปี หลังจากที่ผู้ประกอบการอัดอั้นมานานเพราะตลาดไม่ดี รวมถึงภาครัฐขอความร่วมมือในการตรึงราคาจนถึงสิ้นปี 56 และในช่วงครึ่งหลังของปี 57 ซึ่งอาจจะปรับมากกว่าในช่วงต้นปี เนื่องจากผลพวงจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจทั่วโลกมีความชัดเจนขึ้นและอานิสงส์การปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยค่าเฉลี่ยสินค้าที่คาดว่าจะปรับขึ้นคือกลุ่มอาหาร และจะปรับขึ้นครั้งละจะอยู่ที่ 5,10,15 บาท แต่หากไม่ปรับราคา ร้านค้าอาจจะใช้วิธีการลดปริมาณอาหารให้น้อยลง ซึ่งต่างจากสินค้าอุปโภค-บริโภคทั่วไปที่ปรับขึ้นครั้งละ 1-2 บาท ด้าน “บุญชัย โชควัฒนา” รองประธานกรรมการหอการค้า ไทย และประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด และไม่ควรใช้มาตรการคุมสินค้า เนื่องจากต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการสูงมาก อย่างไรก็ตามยอมรับว่าแนวทางในการปรับตัวคือ ผู้ประกอบการหันไปผลิตสินค้าใหม่ ๆ ในราคาใหม่ ๆ แทน เนื่องจากผู้ผลิตมีต้นทุนการวิจัยและอื่น ๆ อีกมาก ส่วนสินค้าในเครือสหพัฒน์นั้น ในครึ่งแรกปี 57 ยังไม่ปรับขึ้นราคาแน่นอน ส่วนครึ่งหลังของปีนั้น ยอมรับว่าต้องศึกษาภาวะตลาดอีกรอบ แต่ในส่วนของการลดราคานั้น เครือสหพัฒน์ได้จัดกิจกรรมเป็นช่วง ๆ อยู่แล้วไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือเศรษฐกิจไม่ดีก็ตาม ห่วงหมู-ไข่ไก่เขย่าเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ตรวจสอบจากหน่วยงานของภาครัฐในการดูแลสินค้าในปี 57 นั้น ส่วนใหญ่จะกังวลเรื่องของอาหารมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ ไข่ไก่ เนื้อวัว เนื้อหมู และอาหารจานด่วนตามศูนย์อาหารตามสถานที่ต่าง ๆ เพราะสินค้าเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนระดับรากหญ้าของประเทศ และที่สำคัญควบคุมยากมาก เพราะเกี่ยวข้องกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ๆ ทุกซอกทุกมุมกว่า 500,000 ราย โดยเฉพาะเรื่องของเนื้อหมู ไข่ไก่ และนํ้ามันพืช ที่จะมีผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยหากราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และที่สำคัญสินค้าทั้ง 3 ชนิดก็มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะทั้งหมดนอกจากจะกระทบต่ออาหารตามบ้านเรือนแล้วยังกระทบต่อราคาอาหารจานด่วนด้วย ทั้งนี้โครงการต้นทุนอาหารจานด่วน (ปรุงสำเร็จรูป 1 จาน) โดยคำนวณจากต้นนํ้า (วัตถุดิบ), กลางนํ้า (ค่าแรง ค่าเช่า ค่าแก๊ส ค่านํ้า ค่าไฟ) และปลายนํ้า (กำไรของร้าน) ที่ภาครัฐและผู้บริโภคพอรับได้ คือ ราคาข้าวแกงไก่จะอยู่ที่ 30 บาทต่อจาน แบ่งเป็นต้นนํ้า 13.47 บาท กลางนํ้า 8.94 บาท และ ปลายนํ้า 7.59 บาท ผัดซีอิ๊วหมู ราคา 30 บาท แบ่งเป็นต้นนํ้า 13.91 บาท กลางนํ้า 8.94 บาท ปลายนํ้า 7.15 บาท, ข้าวผัดหมู 30 บาท แบ่งเป็น ต้นนํ้า 15 บาท กลางนํ้า 8.94 บาท ปลายนํ้า 6.06 บาท, ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น 30 บาท แบ่งเป็น ต้นนํ้า 13.37 บาท กลางนํ้า 8.94 บาท ปลายนํ้า 7.69 บาท, ข้าวกะเพราหมูไข่ดาว 35 บาท แบ่งเป็นต้นนํ้า 19.49 บาท กลางนํ้า 8.94 บาท ปลายนํ้า 6.57 บาท เป็นต้น โดยในราคาดังกล่าวทั้งชาวบ้านและภาครัฐก็รับได้ แต่ปัจจุบันมีการขายเกินราคามาก ซึ่งหลาย ๆ เจ้าได้เพิ่มราคาขึ้นอีก 5 บาท และอาจต้องเพิ่มอีกในปี 57 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นเชื่อว่าในปี 57 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีหน้าที่ในการรับผิดชอบเรื่องนี้หลัก ๆ คงต้องส่งเจ้าหน้าที่ในการลุยตรวจสอบอย่างเข้มงวดแน่ โดยเฉพาะครึ่งหลังของปีที่เศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะฟื้น และค่าครองชีพก็ต้องพุ่งตาม ส่งผลให้บรรดาพ่อค้าแม่จำเป็นต้องปรับราคากลุ่มอาหารอีก 1- 2 ลอตใหญ่ ๆ แน่ ส่งเจ้าหน้าที่คุมเข้มสินค้า “สมชาติ สร้อยทอง” อธิบดีกรมการค้าภายใน มองว่า จากการตรวจสอบผู้ผลิตส่วนใหญ่ในขณะนี้ ยังยืนราคาเดิมอยู่ ส่วนที่ขอปรับยังไม่มาก โดยเฉพาะเรื่องของนํ้ามันพืชที่ได้รับผลกระทบจากราคาปาล์มปรับขึ้นราคาจาก 3.80 บาทต่อ กก. เป็น 6 บาทต่อ กก. หากยังอยู่ในระดับนี้ จะกระทบต่อผู้ผลิตนํ้ามันพืชแน่นอน แต่หากจะให้ราคาตกต่ำลง ก็จะกระทบต่อชาวสวนปาล์ม ดังนั้นก็อยู่ที่การบริหารจัดการเกี่ยวกับปริมาณของปาล์ม เช่น ขอความร่วมมือให้ชะลอการทำนํ้ามันดีเซลบี 7 ออกไปก่อน เป็นต้น ส่วนสินค้าอื่นที่อาจมีราคาสูงบ้าง ก็คงต้องยอมรับว่าบางอย่างเกิดจากการปรับขึ้นค่าแรงงาน ซึ่งมีการขยับต่อเนื่อง วัตถุดิบนำเข้าสูงขึ้น จากภาวะตึงตัวบ้าง อัตราแลกเปลี่ยน และราคาพลังงาน ราคานํ้ามัน ค่าแก๊สที่สูงขึ้น ค่าไฟฟ้า ซึ่งตรงนี้คงต้องติดตามสถาน การณ์อย่างใกล้ชิด ขณะที่สินค้าที่เคลื่อนไหวด้านราคาได้ง่าย ๆ คือ สินค้าเกษตร อาจดูแลได้ยากกว่าสินค้าอุตสาหกรรม เพราะขึ้นกับภาวะอากาศ สิ่งแวดล้อม กระทบต่อผลผลิตช่วงนั้น ๆ มากหรือน้อยกว่าความต้องการบริโภค นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือ ค่าบริการที่ค่อย ๆ ขยับราคาในอัตราที่สูงขึ้นต่อเนื่อง สังเกตได้จากดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ที่ขยับราคาสูงเดือนต่อเดือน จากค่าบริการต่าง ๆ และค่าอาหารปรุงสำเร็จ (จานด่วน) ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปหารือ และประสานงานกับหน่วยงานที่ดูแลเรื่องค่าบริการ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าเช่าห้อง เพื่อหาทางออกว่าจะดูแลกันอย่างไร ขณะที่อาหารจานด่วนที่มีราคาแพงนั้นยอมรับว่า เป็นประเด็นที่คงต้องทบทวน แม้ประชาชนจะร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 ถึงราคาอาหารริมถนนแพงขึ้น และมักไม่ปิดป้ายแสดงราคาที่ชัดเจน สมชาติ ยังระบุว่า แนวทางในการดูแลเรื่องของอาหารจานด่วน เช่น การสั่งการให้เข้าไปเข้มงวดเรื่องการปิดป้ายแสดงราคา แต่ราคากำหนดขายเมนูจานละ 25-30 บาท คงต้องหารือกันว่าอาจต้องขยับขึ้นตามสถานการณ์ความเป็นจริง เพราะการปรับค่าแรงงาน การปรับค่าพื้นที่ ซึ่งมีผลมากต่อต้นทุนอาหารโดยตรง หนีไม่พ้นธงฟ้าราคาถูก อย่างไรก็ตาม นอกจากการส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และการช่วยหามาตรการในการลดต้นทุนของพ่อค้ารายกลางและรายย่อยแล้ว กรมการค้าภายใน ยังเดินหน้ากิจกรรมลดค่าครองชีพ ด้วยการจัดธงฟ้า เพื่อนำสินค้าอุปโภคและบริโภคราคาถูกกว่าท้องตลาด 20-40% มาจำหน่ายให้ประชาชน ซึ่งปี 57 นี้ ได้เตรียมงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท สำหรับการจัดงานธงฟ้าทั่วประเทศ โดยจะมีทั้งงานใหญ่ระดับภูมิภาค และงานธงฟ้าถึงท้องถิ่นทุกอำเภอ กว่า 1,000 ครั้ง คาดว่าจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าประชาชนได้จำนวนมาก เห็นได้จากในปีงบบประมาณ 56 ที่ได้จัดโครงการไปถึง 2,000 ครั้ง ช่วยลดค่าครองชีพแก่ประชาชนได้ 6 ล้านคน ขณะเดียวกันก็มีร้านอาหารธงฟ้าเกือบ 6,000 ราย ในการเข้าไปจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด แต่ปีนี้คงต้องจับตาให้ดีว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นในช่วงไหนและสินค้าจะปรับราคาอย่างไรบ้าง หลังจากสินค้าหลาย ๆ รายการต่างอัดอั้นกับภาวะต้นทุนที่พุ่งไม่หยุด และนโยบายขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้ามานาน ที่สำคัญ ในช่วงที่เกิดสุญญากาศทางการเมืองในขณะนี้ อาจจะมีหลายรายชิงปรับราคาสินค้ากันไปแล้ว กว่าเศรษฐกิจจะฟื้นอีกที ชาวบ้านก็ได้รับสิทธิกระเป๋า แฟบกันไปแล้ว. มนัส แวววันจิตร

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ชาวบ้านรับกรรมฉลองปีใหม่จับตาสินค้าพาเหรดขึ้นราคา

ชัชชาติค้านกปปส.ปิดกรุงเทพฯ

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รักษาการ รมว.คมนาคม เปิดเผยในเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณี กปปส. จะปิดกรุงเทพฯ หลังปีใหม่ว่า ปัจจุบัน กทม.มีประชากรประมาณ 7 ล้านคน รวมปริมณฑลเป็น 13 ล้านคน มีการจ้างงาน ประมาณ 3.5 ล้านตำแหน่ง มีนักเรียน นักศึกษาประมาณ 1.8 ล้านคน คนเหล่านี้ต้องเดินทางใน กทม. ในแต่ละวัน เพื่อไปทำงาน ทำธุระ เรียนหนังสือ รวมทั้งหมดประมาณวันละ 17 ล้านเที่ยว ดังนั้นการที่ กปปส. ประกาศจะปิดกรุงเทพหลังปีใหม่ 10-20 วันนั้น อาจไม่มีผลกระทบมากนักกับคนที่ไม่ต้องทำงาน ผู้บริหารระดับสูง เจ้าของกิจการที่ไม่เคยต้องตอกบัตรเข้างาน คนที่มีคอนโดในเมือง ตามแนวรถไฟฟ้าที่ใช้รถไฟฟ้าไปทำงานได้ อย่างไรก็ตามสำหรับคนส่วนใหญ่ ประชาชนทั่วไป พนักงาน ลูกจ้าง คนขับแท็กซี่ สามล้อ นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องตื่นแต่เช้า ฝ่ารถติดเข้าเมืองไปทำงาน เย็นต้องรีบกลับบ้าน ทำกับข้าวให้ลูก ทำการบ้าน มีเวลาอยู่กับครอบครัวบ้าง แล้วก็ต้องรีบนอน เพื่อมาลุยต่อในวันรุ่งขึ้น คงได้รับความเดือดร้อน จากการปิดกรุงเทพมากทีเดียว และคนส่วนใหญ่นี้ก็คงไม่สามารถจะหนีความวุ่นวายนี้ไปอยู่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศชั่วคราวตามคำแนะนำของ กปปส. ได้ อีกทั้ง รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 34 ระบุชัดเจนว่า บุคคลมีเสรีภาพในการเดินทาง การจำกัดเสรีภาพนี้จะกระทำมิได้ยกเว้นอาศัยอำนาจตามกฎหมายเท่านั้น “ผมในฐานะผู้รับผิดชอบด้านการคมนาคม ไม่เห็นด้วยกับการเอาความเดือดร้อนในการเดินทางของประชาชนมาเป็นตัวประกัน หรือชนวน ที่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย ครับ การปฏิรูปประเทศนั้น ถ้าเริ่มด้วยการละเมิดสิทธิ์ของคนอื่น ก็คงไปต่อยากครับ” นายชัชชาติ ระบุว่า สุดท้ายคงฝากถึง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่าจุดยืนของท่านในฐานะพ่อเมืองกับเรื่องที่จะมีการปิด กทม. นี้คืออะไร เพราะกระทรวงคมนาคม กทม. และ ตำรวจจราจร มีหน้าที่ที่ต้องทำงานร่วมกัน ในการดูแลความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางของพี่น้องประชาชนชาว กทม. โดยกระทรวงคมนาคม ทำหน้าที่ดูแลถนนสายหลัก เช่น วิภาวดี แจ้งวัฒนะ งามวงศ์วาน ทางด่วน รถเมล์ รถใต้ดิน เรือ และท่าอากาศยาน กทม.ดูแลถนนส่วนใหญ่ ตรอก ซอกซอย ทางเท้า รถไฟฟ้าบีทีเอส และตำรวจจราจร ดูแลการจัดและควบคุมจราจร สัญญาณไฟ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ชัชชาติค้านกปปส.ปิดกรุงเทพฯ

Page 1231 of 1552:« First« 1228 1229 1230 1231 1232 1233 1234 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file