shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

นักท่องเที่ยวขวัญกระเจิงผวาม็อบแห่เที่ยวเพื่อนบ้าน

ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศที่กินเวลามายาวนานกว่า 7-8 ปีสั่งสมผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทั้งสังคมและเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่หมดมนต์เสน่ห์สยามเมืองยิ้มแถมฉุดรายได้หายไปกว่า 1.4 ล้านล้านบาทกำลังซื้อหดหาย ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น ฯลฯ เหล่านี้ล้วนบั่นทอนประเทศของคนไทยทั้งชาติ ผลกระทบที่ชัดเจนเริ่มแสดงออกมาแล้วเมื่อ “สมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้ปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวปีนี้ลงแล้วจากเดิมคาดไว้ 26.5 ล้านคนเหลือเพียง 26 ล้านคนหลังพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยผ่านสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ช่วงวันที่ 1-2 ธ.ค. 56 เฉลี่ยเหลือเพียงวันละ 45,420 คน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเดือน ธ.ค. 55 ที่วันละ 47,000 คน ทั้งที่เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ขณะที่เดือน พ.ย. ยังมีนักท่องเที่ยวสูงถึง 1.56 ล้านคนหรือเฉลี่ยวันละ 52,316 คนสูงกว่า พ.ย. 55 ที่มี 1.47 ล้านคนหรือเฉลี่ยวันละ 49,182 คน ส่วนด้านรายได้จากเดิมที่วางไว้ 13% ก็คงหายไปอีก 3% เหลือเพียง 10% เท่านั้น ทั้งนี้ปัจจัยหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปนั้น นอกจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองแล้วส่วนหนึ่งมาจากกฎหมายควบคุมทัวร์คุณภาพนักท่องเที่ยวของประเทศจีนที่ทำให้นักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ของจีนลดลงรวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมการประชุม (ไมซ์)และการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (อินเซนทีฟ) ดังนั้นขณะนี้คงต้องรอติดตามว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะยุติได้โดยเร็วแค่ไหน หากสงบได้เร็วก็ยังพอมีเวลาที่ทั้งรัฐและเอกชนเร่งกระตุ้นการท่องเที่ยวได้เต็มที่อยู่เพราะตลอด 10 เดือนที่ผ่านมาการท่องเที่ยวไทยเติบโตได้เกินเป้าหมายมาโดยตลอดระดับ 20% ขณะที่ “ศุกรีย์ สิทธิวาณิช” รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยอมรับว่ามีประเทศที่ประกาศแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนนาทีนี้รวมเป็น 36 ประเทศแล้วโดยฟิลิปปินส์ ฮ่องกง ไต้หวัน โรมาเนีย ประกาศแจ้งเตือนระดับ 3 คือ ให้นักท่องเที่ยวระมัดระวังการเดินทางมาประเทศไทย ส่วนตุรกียังแจ้งเตือนในระดับ 2 ส่วน “ยุทธชัย สุนทรรัตนเวช” นายกสมาคมท่องเที่ยวในประเทศ (สทน.) กล่าวว่าขณะนี้นักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านบริษัททัวร์ลดลงไปแล้ว 30% ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมฯ หากสัปดาห์หน้ายังไม่ยุติเชื่อว่าเดือน ธ.ค. นักท่องเที่ยวในประเทศจะหายไปถึง 40% และโดยเฉพาะส่วนกลางที่ปกติจะท่องเที่ยว 3 ล้านคนจะไม่มีอารมณ์ท่องเที่ยวไป 1 ล้านคน ด้าน “ปิยะมาน เตชะไพบูลย์” ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ระบุว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ม็อบปิดสนามบินปี 51 จนมาถึงการขับไล่ระบอบทักษิณส่งผล กระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยอย่างมากเพราะทำให้เอกลักษณ์สยามเมืองยิ้มหายไป  ยิ่งความขัดแย้งยืดเยื้อก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้คู่แข่งก้าวกระโดดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วทิ้งไว้แต่ความเสียหายย่อยยับในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย “ในสายตาชาวต่างชาติเริ่มมองว่าไทยมีความวุ่นวายเกิดขึ้นบ่อยทำให้สังคมไม่น่าอยู่ไม่น่าท่องเที่ยวเหมือนเมื่อก่อน ขณะที่คนไทยเองก็เบื่อหน่ายทำให้รอยยิ้ม ความมีน้ำใจไมตรีจิตในการให้บริการซึ่งเคยเป็นจุดเด่นหายไปเห็นได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติขณะนี้ต่างเดินทางมาไทยน้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว ขณะที่การท่องเที่ยวอินเซนทีฟของกลุ่มข้าราชการรัฐวิสาหกิจในประเทศก็ยกเลิกแล้วไม่น้อยกว่า 30% ส่วนนักท่องเที่ยวเอเชียก็งดเดินทางมาไทยไม่น้อยกว่า 20% แต่หันไปท่องเที่ยวประเทศอื่นแทน” ฟาก “ธนิต โสรัตน์” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่านับตั้งแต่ไทยเข้าสู่ความวุ่นวายทางการเมืองตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ต่างสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านล้านบาทจากปกติประเทศในอาเซียนจีดีพีจะขยายตัว 6–7% แต่ไทยขยายตัวแค่ 3–4% หายไปปีละ 2 แสนล้านบาท ที่เห็นชัดคือมูลค่าการส่งออกลดลงโดยมูลค่าการส่งออกคิดเป็น 65-67% ของจีดีพีแต่ขณะนี้เหลือ 60–61% เท่านั้น นอกจากนี้ยังทำให้นโยบายพัฒนาประเทศของรัฐบาลสะดุดตลอดเพราะเปลี่ยนบ่อย จึงขาดความต่อเนื่อง “สิ่งที่ไทยฝันอยากจะเป็นฮับต่าง ๆ หรือเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนคงยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะขณะนี้รอบบ้านเราเปิดประเทศไปกันไกลแล้วทั้งกัมพูชา ลาว เวียดนาม ทุกคนล้วนแต่พูดว่าเสียดายประเทศไทยสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไปมากทุกอย่างดูหยุดชะงักมาสักระยะแล้ว” ด้าน “ธนวรรธน์ พลวิชัย” ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์และเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังลดลงติดต่อกันมากว่า 8 เดือนแล้วและเดือน พ.ย. 56 นี้ถือว่าต่ำสุดในรอบ  22 เดือนเลยทีเดียวซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่ต่างปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลงกันทั่วหน้าจนคาดว่าปีนี้ จีดีพีคงจะเติบโตเพียง 3% เท่านั้น เช่นเดียวกับ “บุญชัย โชควัฒนา” ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหารบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคยืนยันว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาไทยสูญเสียผลประโยชน์ด้านการค้าและลงทุนมหาศาลโดยผลกระทบที่เกิดต่อคนในประเทศคือกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงเพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น จึงประหยัดสำรองเงินไว้ยามฉุกเฉินทำให้เอกชนต้องชะลอการลงทุนตามด้วย แม้ว่าปัญหาการเมืองครั้งนี้ยังไม่รุนแรงและส่งผลกระทบมากเท่าการชุมนุมในปี 53 แต่ในมุมมองของชาวต่างชาติสถานการณ์ในประเทศไทยก็ยังไม่เหมาะแก่การท่องเที่ยวและการลงทุนอยู่ดี ปิดท้ายกันที่ “กลินท์ สารสิน” กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตอกย้ำว่า ยิ่งความขัดแย้งมียาวนานมากเท่าใด ก็ยิ่งสร้างความเสียหายมากเท่านั้น หากเห็นแก่ประเทศชาติในระยะยาวอย่างแท้จริงจึงถึงเวลาแล้ว ที่ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้ามาเจรจา และร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยในทุก ๆ ด้านด้วยกันอย่างจริงใจ. ทีมเศรษฐกิจ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : นักท่องเที่ยวขวัญกระเจิงผวาม็อบแห่เที่ยวเพื่อนบ้าน

Posts related

 














ป.ป.ช.ขอเอกสารจำนำข้าวเพิ่ม

นายวิทยา อาคมพิทักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) ว่า ป.ป.ช.มารับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ของกระทรวงพาณิชย์ ที่พรรคฝ่ายค้านร้องเรียนป.ป.ช.ว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้น โดยเอกสารที่มารับจากอคส.เป็นใบขนย้ายข้าวในสต๊อกรัฐออกจากโกดังกลาง ซึ่งป.ป.ช.ได้ขอจากอคส.มาแล้วกว่า 5 เดือน แต่ยังไม่ได้จัดส่งให้ โดยอ้างว่า กำลังรวบรวมเอกสารอยู่                     ทั้งนี้ อคส.ระบุว่า การขายข้าวจีทูจีของรัฐบาลชุดนี้ให้กับรัฐวิสาหกิจจีน มีการขนข้าวออกจากโกดังทั่วประเทศ 180 ครั้ง ซึ่งป.ป.ช.ได้สุ่มตรวจใบขนย้ายจากโกดังทั่วประเทศ 34 แห่ง แต่ก่อนหน้านี้ อคส.ได้จัดส่งให้แล้ว 7 แห่ง และครั้งนี้ได้ส่งให้เพิ่มอีก 10 แห่ง รวม 17 แห่ง ส่วนทีเหลือคาดจะส่งให้ในเร็วๆ นี้              ”การตรวจสอบใบขนย้าย เพื่อให้รู้เส้นทางของข้าว ที่กระทรวงพาณิชย์บอกว่าขายจีทูจีให้กับรัฐวิสากิจของจีนนั้น ขายให้จริงหรือไม่ ได้มีการขนข้าวออกจากโกดังเพื่อส่งออกให้จีนจริงหรือไม่ หรือมีการนำข้าวมาวนขายในประเทศหรือไม่ รวมทั้งให้รู้เส้นทางของเงินที่นำมาซื้อข้าวว่ามาจากไหน ซึ่งเมื่อได้เอกสารครบถ้วนแล้ว ต่อไปจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าของโกดังที่อคส.ขนข้าวออก หัวหน้าคลังสินค้าของอคส.ที่ดูแลโกดังนั้น เป็นต้น มาให้ปากคำ”                 นายวิทยา กล่าวว่า การตรวจสอบคดีนี้จะสรุปผลได้เมื่อไร คงต้องขึ้นอยู่กับเอกสาร และพยานบุคคลที่ตรวจสอบเพิ่มเติม หากมีเอกสารและพยานเพียงพอ ก็จะชี้มูลได้ในเร็วๆ นี้ โดยหากตรวจสอบแล้วพบว่าเข้าข่ายมีการทุจริตจริง ป.ป.ช.จะแจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ หากเป็นข้าราชการประจำ จะแจ้งต้นสังกัดให้พิจารณาเอาผิดทางวินัย และฟ้องศาลฎีกาให้เอาผิดทางอาญาด้วย และหากเป็นข้าราชการการเมือง จะแจ้งความดำเนินคดีกับศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง                 ด้านนายชนุตร์ปกรณ์ วงศ์สีนิล ผู้อำนวยการ อคส.กล่าวว่า  ได้ชี้แจ้งป.ป.ช. ว่าพร้อมให้ความร่วมมือ และสั่งการให้รองผู้อำนวยการ อคส.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจัดส่งเอกสารให้ป.ป.ช.ตามที่ได้ขอมา อย่างไรก็ตาม ตนเพิ่งรับตำแหน่งผู้อำนวยการอคส.ได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น กรณีที่ป.ป.ช.ระบุว่าได้ขอข้อมูลมาแล้ว 5 เดือนแต่อคส.ยังไม่ได้ส่งให้ ก็ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ตนเป็นผู้อำนวยการ อีกทั้งตนไม่ได้ดูแลสัญญาขายข้าวจีทูจีในล็อตดังกล่าว และที่ผ่านมา อคส. มุ่งทำตามนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ทำให้ต้องใช้บุคคลจำนวนมาก จนจัดส่งเอกสารให้ล่าช้า                   ส่วนนายสุรศักดิ์ เรียงเครือ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงการที่ป.ป.ช.ระบุจะเรียกข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการขายข้าวจีทูจีให้กับรัฐวิสาหกิจไปสอบปากคำเพิ่มเติม และขอเอกสารที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมว่า กรมฯให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่มาโดยตลอด ไม่ได้ปิดบังอยู่แล้ว ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ให้ความร่วมมือดีเช่นกัน ซึ่งมั่นใจว่า การขายข้าวจีทูจีให้กับจีนดำเนินการอย่างถูกต้อง โปร่งใส                 ขณะที่นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และอคส.ให้ข้อมูลแก่ป.ป.ช.ตามที่ขอมา  และต้องพยายามชี้แจงข้อเท็จจริงให้ป.ป.ช. และสาธารณชนเข้าใจ เพราะประเด็นที่มีการตรวจสอบเรื่องวิธีการขายข้าวจีทูจีนั้น มีหลายวิธี ต้องแยกแยะให้ถูกต้อง โดยการขายข้าวจีทูจีไม่ใช่เป็นการขายข้าวจากรัฐบาลผู้ขายให้รัฐบาลผู้ซื้อแบบเดียว แต่มีหลายแบบ เช่น มีการขายหน้าคลังสินค้า โดยผู้ซื้อต้องหาผู้ปรับปรุงคุณภาพ และส่งมอบเอง หรือการขายแบบ ณ ท่าเรือ (เอฟโอบี) คือ ผู้ขายจะจัดหาผู้ปรับปรุงและรับผิดชอบการจัดส่งให้ผู้ซื้อจนถึงท่าเรือ หรือการขายแบบซีไอเอฟ ที่ผู้ขายจะต้องรับผิดชอบข้าวจนถึงปลายทาง ส่วนระยะเวลาในการส่งมอบ ถ้าสั่งซื้อมาก 1-2 ล้านตัน ก็ต้องให้เวลาในการรับมอบข้าวนาน เช่น 5 ปี

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ป.ป.ช.ขอเอกสารจำนำข้าวเพิ่ม

หุ้นไทยวันที่ 4 ธันวาคม 2556 ปิดลบ 7.26 จุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 ธ.ค. ดัชนีแกว่งตัวผันผวนกรอบแคบๆทั้งในแดนบวกและลบ ตามแรงซื้อสลับขายทำกำไร เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามากระตุ้นการลงทุน อีกทั้งตลาดหุ้นไทยจะปิดทำการซื้อขายในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนนอกจากนี้ ยังเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปิดลบ เพราะเริ่มมีความกังวลเรื่องการทยอยลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ(คิวอี) อีกครั้ง โดยระหว่างวันหุ้นไทยทะยานขึ้นสูงสุดที่ 1,388.53 จุดก่อนอ่อนตัวลงมาปิดตลาดที่จุดต่ำสุดของวันที่ 1,376.63 จุดลดลง 7.26 จุด หรือ 0.52% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย27,334.15 ล้านบาท   สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด5 อันดับแรก 1.ทรู ปิดที่ 9.05 บาท ลดลง 0.15 บาท 2.ซีพีออลล์ ปิดที่ 41.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท 3.เอไอเอส ปิดที่ 223.00 บาท ลดลง 3.00 บาท 4.จัสมิน ปิดที่ 7.90บาท ลดลง 0.15 บาท 5.ธ.ไทยพาณิชย์ ปิดที่ 156.00 บาท ลดลง 2.50 บาท

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : หุ้นไทยวันที่ 4 ธันวาคม 2556 ปิดลบ 7.26 จุด

Page 1333 of 1552:« First« 1330 1331 1332 1333 1334 1335 1336 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file