shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

คลังรับจีดีพี56โตไม่ถึง3.7%

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.จะปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปี 56นี้อีกครั้งในเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ แต่เบื้องต้นประเมินว่าจีดีพีไทยปีนี้ขยายตัวมากกว่า 3% แต่นอน แต่คงไม่ถึง 3.7% ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขของคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จากการส่งออกที่ชะลอตัว ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ และเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง สถาบันการเงินของไทยยังดี เงินเฟ้อไม่สูง ว่างงานต่ำ ทำให้คาดว่าทั้งปีหน้า จีดีพีจะเติบโตกว่าปีนี้แน่นอน “แต่อย่างไรก็ดี จะต้องติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งการยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) ของสหรัฐอเมริกา การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และการเมืองไทยต้องไม่มีเหตุการณ์ที่รุนแรง รวมถึงการกู้เงินตาม พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยนโยบายนั้น เชื่อว่าจะคงดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปี แต่ปีหน้า น่าจะเป็นช่วงขาขึ้น” นายสมชัย กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการด้านภาษีที่เดินหน้าอยู่ในขณะนี้ คือ การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เบื้องต้นจะไม่ดำเนินการด้านการพาณิชย์ เพราะมีผลกระทบกับประชาชนโดยรวม แต่จะเก็บภาษีกับผู้ที่ซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไร หรือที่ดินรกร้างก่อน การจัดทำ พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ เป็นการอำนวยความสะดวกให้ธุรกิจขนาดเล็ก ที่สามารถนำหลักทรัพย์ที่มีอยู่มาค้ำประกัน เช่น กิจการ ทรัพย์สินทางปัญญา อสังหาริมทรัพย์ วัตถุดิบ นอกจากนี้ การอนุญาตให้ตั้งบริษัทสินเชื่อเพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยปล่อยสินเชื่อสำหรับธุรกิจได้ไม่เกิน 100,000 บาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมเก็บได้ถึง 36% ต่อปี โดยมีข้อแม้ให้ปล่อยแค่ในพื้นที่จังหวัดที่มีการจัดตั้งบริษัทเท่านั้น

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : คลังรับจีดีพี56โตไม่ถึง3.7%

Posts related

 














สศค.เตือน 4 ปัจจัยเสี่ยงกระทบเศรษฐกิจไทย

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ​ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยในงานสัมมนาทิศทางเศรษฐกิจไทย ปี 57 สมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เรื่องโจทย์ใหญ่เศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้ไปโลด ว่า ขณะนี้ เศรษฐกิจไทยได้ผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยในระยะสั้นมี 4 ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย ปัญหาความต้องการของตลาดลดลง, อัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินที่ผันผวน, อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะตกต่ำลง เช่น ราคาทองคำและราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร หากมีราคาตกต่ำจะกระทบรายได้ของเกษตรกรและประเทศ “ทิศทางเศรษฐกิจของยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน ที่มีเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วน 65% ของเศรษฐกิจโลก ที่ยังไม่มีความชัดเจนในการฟื้นตัว โดยเฉพาะมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ไม่มีความแน่นอนจะปรับลดหรือไม่นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทผันผวนในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้ง เดือน ก.พ.57 ยังมีปัญหานโยบายการคลังของสหรัฐ เกี่ยวกับเพดานหนี้ ที่จะทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้นปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อดอกเบี้ยระยะยาว ทำให้การกู้เงินของผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบ โดยปัจจัยเสี่ยง 4 เรื่องดังกล่าว จะยังถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนในระยะสั้นเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงทั้งในระยะปานกลาง และระยะยาวด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องเตรียมรับมือ” น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก กล่าวว่า ในเดือนธ.ค.นี้ ธนาคารโลกเตรียมปรับประมาณเศรษฐกิจไทยในปี 56 ลงจากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 4% รวมถึงตัวเลขการส่งออกปรับลดลงเหลือ 1% จากเดิม 2.5% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมาก ส่งผลกระทบให้การส่งออกและเศรษฐกิจไตรมาส 3 ชะลอลง ส่วนปี 57 มองว่า ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวน ซึ่งกระทบต่อตลาดการเงินโลกให้มีเงินไหลเข้าออกในระดับสูงขึ้น ขณะที่ ปัจจัยในประเทศยังต้องจับตา คือ การลงทุนของภาครัฐทั้งการเบิกจ่ายทั้งในและนอกงบประมาณ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายในโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท หากรัฐบาลสามารถเดินหน้าเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายก็จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : สศค.เตือน 4 ปัจจัยเสี่ยงกระทบเศรษฐกิจไทย

ติงรัฐใช้เงินกู้2ล้านล้านพิสดาร

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม เปิดเผยถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้ ว่า รัฐบาลเป็นต้นเหตุจากการดำเนินงาน ทั้งเรื่องการชุมนุมที่เรียกร้องเพื่อยุติ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม การที่ฝ่ายค้านจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความโครงการกู้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ 2 ล้านล้านบาท และกรณียื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความที่มาของสมาชิกวุฒิสภา โดยเห็นว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องเร่งหาทางออกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ โครงการกู้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ 2 ล้านล้านบาท มีวิธีปกติอยู่แล้วที่จะใช้ดำเนินการ โดยไม่ต้องกู้เงินด้วยวิธีพิศดาร รวมถึง รัฐบาลยังได้ดำเนินการที่ผิดขั้นตอน เพราะโครงการขนาดใหญ่ควรจะศึกษารายละเอียดโครงการก่อนที่จะกู้เงิน ซึ่งส่วนตัวมองว่ามีบางโครงการที่ไม่มีความเหมาะสม เช่น รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ที่ใช้ลงทุนกว่า 400,000 ล้านบาท ถือไม่มีประโยชน์ต่อประเทศ แต่ควรใช้กับสิ่งที่มีประโยชน์กับประเทศมากกว่า เช่น นำเงินไปซื้อเครื่องบินแอร์บัส 320 ได้กว่า 330 ลำ ที่สามารถบินกรุงเทพ-เชียงใหม่ 3 เที่ยวต่อวัน และบรรทุกผู้โดยสาร 300,000 ราย หากเปรียบเทียบกันแลัวตั๋วเครื่องบินถูกกว่าตั๋วรถไฟความเร็วสูงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา รัฐบาลมีบทเรียนในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ ถือเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าและไม่ได้มีประโยชน์ต่อประเทศ ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลปัจจุบัน กำลังดำเนินการกู้เงินกว่า 2 ล้านล้านบาท ที่เป็นแนวทางเดียวกัน แต่มีวงเงินมากกว่าเดิม “ไม่เห็นว่าการใช้เงินลงทุนในงบประมาณปกติจะเป็นปัญหา เพราะที่ผ่านมา รัฐวิสาหกิจก็มีความสามารถในการลงทุนโครงการต่างๆ ได้ เช่น รถไฟฟ้าใต้ดิน การซื้อเครื่องบินของการบินไทย ที่มีความสามารถบริหารจัดการ แต่ขณะนี้ สิ่งที่เป็นปัญหาคือคน เพราะคิดว่าตัวเองมีวิสัยทัศน์และพยายามหลอกให้คนอื่นเชื่อในวิสัยทัศน์ของตนเอง ทั้งที่จริงแล้วคือความโง่ ส่วนการลงทุนเอกชนที่ไม่ขยายตัวในขณะนี้ มาจากสาเหตุหลักในด้านกฎกติกาต่างๆ ที่ไม่เอื้ออำนวย ไม่ใช่เหมือนอย่างที่ รมว.คลังชอบพูดว่าเกิดจากความล่าช้าของโครงการกู้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ 2 ล้านล้านบาท” //////////////////

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ติงรัฐใช้เงินกู้2ล้านล้านพิสดาร

Page 1394 of 1552:« First« 1391 1392 1393 1394 1395 1396 1397 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file